วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

64) ตอบคำถามเกี่ยวกับโลกแบน 35 ข้อ ภายใน 35 นาที (ข้อที่ 11-20)


35 Most Common Flat Earth Questions Answered in 35 Minutes

ข้อ 11) ทำไมดวงจันทร์ถึงกลับหัวในซีกโลกใต้? (นาทีที่ 9:02)

สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศทางซีกโลกใต้จะเห็นดวงจันทร์กลับหัว ต่างจากคนที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกเหนือที่จะเห็นดวงจันทร์ในทางตรงกันข้ามเพราะพวกเขามองดวงจันทร์จากคนละซีกโลกนั่นเอง 


ข้อ 12) แล้วภาพโลกที่ถ่ายจากอวกาศล่ะ? (นาทีที่ 9:39) 

ภาพโลกที่เราเห็นจากองค์กรนาซ่าคือภาพที่่ใช้โปรแกรม photoshop ตกแต่งมา ซึ่งมันเห็นได้อย่างชัดเจนและพวกเขาก็ยอมรับเองจากคำสัมภาษณ์ของนักออกแบบ Robert Simmon ที่กล่าวว่า "It is photoshopped, but it has to be." (มันถูกตกแต่งด้วยโปรแกรม photoshop แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ) นี่เป็นการพิสูจน์ว่าภาพโลกที่เห็นเป็นเพียงภาพปลอมที่ถูกตกแต่งด้วยวิธีกราฟฟิก หลังจากที่ทำการวิเคราะห์ภาพโลกหลาย ๆ ภาพ คุณจะเห็นว่ามีการทำซ้ำก้อนเมฆหลายครั้ง นอกจากนั้นยังมีคำว่า SEX ท่ามกลางก้อนเมฆอยู่ด้วย แม้แต่สีของมหาสมุทรยังแตกต่างกัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เคยบอกว่าโลกมีลักษณะกลมแป้นเหมือนลูกแพร์ (oblate spheroid) ซึ่งมันขัดแย้งกับภาพโลกของนาซ่าที่มีลักษณะกลมเกลี้ยง สรุปคือเราไม่เคยมีภาพโลกจริง ๆ จากอวกาศ มีเพียงแต่ภาพที่ถูกตกแต่งด้วยโปรแกรมโฟโต้ชอปซึ่งเราก็เชื่อว่านั่นคือภาพจริง 

ลองอ่านดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของนาซ่า ที่โรเบิร์ต ซิมมอนเคยให้สัมภาษณ์ไว้



คำถาม: สิ่งที่เจ๋งที่สุดที่คุณได้ทำจากการทำงานที่ Goddard

คำตอบ: ครั้งสุดท้ายที่มีคนถ่ายภาพโลกไว้ได้เป็นภาพจากปี 1972 เป็นภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นโลกครึ่งใบที่มาจากวงโคจรต่ำของโลก (low earth orbit วงโคจรรอบโลกที่อยู่สูงขึ้นไประหว่าง 160-2,000 กม.) ซึ่งมาจากโครงการอพอลโล 17 องค์กรนาซ่ามีดาวเทียม Earth Observing System (EOS) ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบสุขภาพโลก และในปี 2002 เรามีข้อมูลของโลกเพียงพอที่จะนำมาทำเป็นภาพโลกทั้งใบ เราก็เลยได้ทำมันออกมา ช่วงที่ยากที่สุดก็คือการทำแผนที่โลกแบบแบนให้เป็นพื้นผิวโลกจากข้อมูลดาวเทียมทั้งหมด 4 เดือน คนที่ทำงานมากที่สุดในส่วนนี้คือ Reto Stockli ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Swiss Federal Office of Meteorology and Climatology แล้วเราก็เอาภาพแผนที่โลกที่มีลักษณะแบนมาพันรอบลูกบอล ในส่วนที่ผมทำก็คือการประกอบส่วนต่าง ๆ ของพื้นผิวโลกก้อนเมฆ และมหาสมุทร เพื่อให้สมกับที่ผู้คนคาดหวังที่จะได้เห็นภาพโลกจากอวกาศ และนั่นก็กลายเป็นภาพโลกที่โด่งดังมากในชื่อว่า Blue Marble (หินอ่อนสีฟ้า) ผมมีความสุขกับมันมากและไม่เคยคิดว่ามันจะได้รับความนิยมอย่างมากมาย เราไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นจุดสนใจ ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะกลายเป็น Mr. Blue Marble
เราได้พัฒนาแผนที่พื้นฐานโดยการเพิ่มความละเอียด และในปี 2004 เราได้ทำภาพแผนที่เป็นซีรี่ส์ออกมาแบบรายเดือน

ดูภาพเทคนิคการแต่งภาพโดยวิธี copy และ paste ด้วยโปรแกรม Photoshop

  


  

โหลดภาพ Blue Marble จากนาซ่ามาดูเองได้ https://visibleearth.nasa.gov/images/57723/the-blue-marble

ข้อ 13) แสงจากดวงจันทร์คือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์จริงหรือ? (นาทีที่ 10:52) 

แสงจากดวงจันทร์มีความแตกต่างจากแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจันทร์มีอิทธิพลโดยตรงกับต้นไม้และอาหาร แม้แต่อุณหภูมิก็ยังแตกต่างในช่วงเวลากลางวันอุณหภูมิจะต่ำตอนที่เราอยู่ในร่ม แต่ในตอนกลางคืนถ้าเรายืนอยู่กลางแสงจันทร์อุณหภูมิจะเย็นกว่าเรายืนอยู่ในที่ร่มซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่แสงจันทร์คือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์เพราะมันมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน แต่เป็นดวงจันทร์ที่มีแสงในตัวเองและดวงจันทร์มีลักษณะที่โปร่งแสง ดวงจันทร์ไม่ได้มีลักษณะเป็นก้อนหินทรงกลมเหมือนลูกบอลที่สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์อย่างที่เราถูกสอนมา หากว่าดวงจันทร์เป็นทรงกลมจริง เราต้องได้เห็นอีกด้านนึงของดวงจันทร์บ้างแต่ที่เราเห็นคือดวงจันทร์มีด้านเดียว นอกจากนั้นยังมีหลายคนที่ถ่ายภาพดวงจันทร์ที่มีแสงดาวทะลุออกมา และถ้าเราเห็นดวงจันทร์ในช่วงกลางวันเราจะเห็นสีฟ้าของท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลังของดวงจันทร์ อย่างสัญลักษณ์ของชาวมุสลิมและองค์กรฟรีเมสันที่จะมีดวงดาวอยู่กลางดวงจันทร์ 

การทดสอบอุณหภูมิของแสงจันทร์ด้วยวิธีง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน

Moonlight Temperature Test

ลักษณะการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์กับวัตถุทรงกลมเราจะเห็นจุด hot spot เฉพาะบริเวณที่นูนออกมาเป็นจุด highlight ส่วนบริเวณรอบ ๆ จะเป็นเงามืด ซึ่งต่างจากการเกิดแสงบนดวงจันทร์


ในคลิปนี้มีอธิบายว่ามีการบันทึกข้อมูลจากนักดาราศาสตร์หลายครั้งว่าเห็นแสงดวงดาวทะลุดวงจันทร์ และมีรูปถ่ายที่เห็นมาให้ดูด้วย เป็นภาพถ่ายของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2015 แสดงให้เห็นว่ามีแสงของดวงดาวหลายดวงทะลุออกมาจากด้านมืดของดวงจันทร์ (นาทีที่ 1.20) 

Stars and Planets seen through the moon!

1) 7 มีนาคม 1794 นักดาราศาสตร์ 4 คน (3 คนจากเมืองนอร์วิชอีก 1 คนจากลอนดอน) เขียนในเอกสาร The Philosophical Transactions of the Royal Astronomical Society ไว้ว่า "saw a star in the dark part of the moon" เห็นดวงดาวจากด้านมืดของดวงจันทร์


2) เซอร์เจมส์ เซาธ์ จากหอดูดาวในเมืองเคนซิงตันเขียนไว้ในจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ไทมส์เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 1848 ว่า "The star, Instead of disappearing the moment the moon's edge came in contact with it, apparently glided on the moon's dark face, as if it had been seen through a transparent moon" (ดาวดวงนั้น แทนที่จะหายไปตอนที่ขอบของดวงจ้นทร์เข้ามาบัง แต่ปรากฎว่ามันฉายแสงออกมาจากด้านมืดของดวงจันทร์ ราวกับว่าเรามองเห็นมันผ่านดวงจันทร์ที่โปร่งแสง)


The Polytechnic Review and Magazine of Science, Literature, and the Fine Arts
by George G. Sigmond, M.D.


#บทความเพิ่มเติม
22) ว่าด้วยเรื่องดวงจันทร์
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/22.html

ข้อ 14) แล้วดวงดาวต่าง ๆ ล่ะ แล้วอวกาศมีอยู่จริงไหม? (นาทีที่ 12:18) 

คำตอบคือมีและไม่มี เห็นได้ชัดว่าแสงดาวจากท้องฟ้ากำลังวนรอบหัวเราอยู่ แต่อวกาศที่เราเชื่อว่ามีจริงนั้นไม่ใช่เรื่องจริง มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เราเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอวกาศนั้นคือภาพยนตร์จากฮอลลีวูด หนังสือวิทยาศาสตร์ และองค์กรนาซ่า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าแสงบนหัวของเรานั้นคืออะไร แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือมันกำลังหมุนรอบเราอยู่ และเราเป็นศูนย์กลางของวงโคจร

ดูการหมุนของทางช้างเผือก Ptolemy ได้อธิบายระบบจักรวาลแบบ Geocentric ไว้ว่าโลกเป็นศูนย์กลาง อยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนที่ แต่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โคจรไปรอบโลก และการเคลื่อนที่ของดวงดาวมีลักษณะเคลื่อนไปพร้อมกันตามทรงกลมฟ้า (Celestial sphere) ที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง (arc)


Milkyway Timelapse Compilation - 2016 - in 4K

#ข้อสังเกตนาซ่าไม่เคยมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายดวงดาวแบบที่มีการเคลื่อนไหวมาให้ดู ขนาดเรามองด้วยตาเปล่าเรายังเห็นว่าดาวบนท้องฟ้ามีการกระพริบแสง แต่ภาพที่นาซ่าพยายามจะสื่อให้เห็นคือดวงดาวมีลักษณะเป็นวัตถุเหมือนก้อนหินไม่มีการกระพริบแสง


WANDERING STAR recorded WITH X83 NIKON P900 ZOOM Camera

#บทความเพิ่มเติม
39) ถ้าโลกแบนแล้วดาวอื่น ๆ แบนด้วยมั๊ย (Electric Universe / Plasma Universe / Electric Sky Theory)

ข้อ 15) ทำไมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถึงมองดูว่ามีขนาดที่เท่ากัน? (นาทีที่ 13:01) 

เรามองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ว่ามีขนาดเท่ากันก็เพราะว่ามันมีขนาดที่เท่ากัน แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่อยากให้เราเชื่อว่าการที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีขนาดเท่ากันเป็นเพราะดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ 400 เท่า และอยู่ไกลออกไปถึง 400 เท่า พวกเขาบอกว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเองว่าทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์กำลังโคจรอยู่บนหัวของเรา ทั้งยังมีขนาดที่เท่า ๆ กัน

ดวงอาทิตย์ในโมเดลสุริยะมีขนาดใหญ่มากและอยู่ไกลมาก



ระยะทางของดวงอาทิตย์ถูกคำนวณไว้จากนักดาราศาสตร์หลายคน Copernicus ซึ่งเป็นคนเสนอโมเดลจักรวาลแบบ Heliocentric ออกมาเมื่อ 500 ปีก่อน คำนวณไว้ว่าดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 3 ล้านไมล์ แต่ปัจจุบันตัวเลขเปลี่ยนมาเป็น 93 ล้านไมล์ ซึ่งมีความแปรปรวนของตัวเลขที่ได้จากการคำนวณแตกต่างจากเดิมถึง 31 เท่า!!!


ข้อ 16) แล้วการเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาล่ะ? (นาทีที่ 13:48) 

หลายคนโต้แย้งว่าโลกมีลักษณะกลมเพราะดูจากเงาที่เกิดบนดวงจันทร์ในขณะที่เกิดเหตุการณ์จันทรุปราคา พวกเขาบอกว่าดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ในแนวเดียวกันพอดี ทำให้โลกบังแสงจากดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดเงาบนดวงจันทร์แต่ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เนื่องจากมีเหตุการณ์จันทรุปราคาเกิดขึ้นกว่า 50 ครั้งในระยะเวลากว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา ที่ปรากฎว่าทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้าทั้งคู่ ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในโมเดลระบบสุริยะ เพราะว่าดวงอาทิตย์จะต้องอยู่ด้านหลังโลกกลมอย่างพอดีโดยทำมุม 180 องศา เพื่อจะทำให้เกิดเงาบนดวงจันทร์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เงาบนดวงจันทร์จะเป็นเงาของโลก ในยุคโบราณมีคำอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าเกิดจาก "ราหู" หรือดวงอาทิตย์สีดำ ซึ่งเป็นเทห์ฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอน ราหูมีกายเป็นสีดำและเป็นสาเหตุของการเกิดคราส ดังนั้นเงามืดที่เกิดบนดวงจันทร์จึงไม่ใช่เงาของโลก แต่อย่างไรก็ตามการเกิดคราสทั้งสองแบบจะเกิดจากราหูจริงหรือไม่ ผมอยากให้มีหลักฐานมากกว่านี้ แต่นี่คือคำอธิบายจากยุคโบราณเกี่ยวกับการเกิดคราส (อ่านบทความที่แอดค้นคว้ามาให้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติม)

#บทความเพิ่มเติม
38) สุริยุปราคาและจันทรุปราคาในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/04/38.html


#ข้อสังเกตในโมเดลสุริยะมีการใช้แสงจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน 3 แบบ 
1) ตาเราเห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงแบบเป็นรัศมีออกจากจุดศูนย์กลาง
2) ในการอธิบายเรื่องการวัดขนาดของโลกในการทดลองของ Eratosthenesใช้แสงแบบเป็นเส้นขนาน
3) เวลาอธิบายเรื่องการเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาใช้แสงแบบมีการตัดกันเป็นมุมแทยง




ข้อ 17) แล้วอิทธิพลของแรง Coriolis effect ล่ะ? (นาทีที่ 15:23) 

สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกกลมมักเอามาอ้างว่าโลกหมุนจริงคือการหมุนวนของน้ำในอ่างล้างหน้าหรือในโถส้วมว่ามีการหมุนวนในทิศทางที่ต่างกันจากทั้งสองซีกโลก ในทางซีกโลกใต้น้ำจะหมุนวนไปทางตรงกันข้ามที่เราเรียกกันว่า Coriolis effect (วิทยาศาสตร์อ้างว่าในซีกโลกเหนือน้ำจะหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา และในทางซีกโลกใต้น้ำจะหมุนวนตามเข็มนาฬิกา) อย่างไรก็ตามเราสามารถสังเกตดูได้เองว่าเวลาปล่อยน้ำในบ้านหลังเดียวกันมีความแตกต่างกันอยู่เสมอ (หมายถึงบางครั้งหมุนวนซ้าย บางครั้งหมุนวนขวา)

ตัวอย่างจากในคลิปนี้ มีทั้งแบบหมุนวนทั้งสองด้าน และแบบที่ไม่มีการหมุนก็มี

SchoolFreeware Science Video 11 - Science Down The Drain - Is The Rotation From The Coriolis Force?

ส่วนในคลิปนี้ถ่ายจากแม่น้ำในเมืองนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา มีการเกิดน้ำวนสองจุดพร้อมกันและหมุนไปคนละทาง

Coriolis Effect Debunked


ข้อ 18) แล้วดาวดวงอื่นแบนด้วยไหม? (นาทีที่ 16:26) 

หากเราเปรียบเทียบภาพดวงดาวของนักถ่ายภาพสมัครเล่นกับภาพของนาซ่า เราจะเห็นชัดว่าภาพดาวเคราะห์จากนาซ่านั้นเป็นภาพที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแต่งภาพขึ้นมา เราไม่รู้ว่าดาวเคราะห์คืออะไรหรือมันมีรูปร่างลักษณะแบบไหนกันแน่นอกเสียจากว่ามันคือแสงที่อยู่บนท้องฟ้า ในยุคโบราณมีคำอธิบายเกี่ยวกับดาวเคราะห์ไว้ดังนี้ คำว่า planets มีความหมายว่า wandering stars หมายถึงเป็นกลุ่มดาวที่มีวงโคจรของตัวเอง ต่างจากดาวดวงอื่น ๆ ส่วนคำว่า planet ก็มาจากคำว่า plane (แปลว่าราบเรียบ) แล้วเพิ่มตัว t เข้าไป ดาวเคราะห์คือดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าหลายคนมักจะใช้เป็นข้ออ้างว่าดาวดวงอื่นกลมแล้วโลกก็ต้องกลมซิ ซึ่งนั่นไม่ใช่การให้เหตุผลที่ดีนัก

 เปรียบเทียบถ้าเราเห็นว่าลูกสนุ๊กเกอร์มันกลม แสดงว่าโต๊ะต้องกลมด้วย
ในโมเดลโลกแบนโลกคือโลก ดวงดาวคือดวงดาว โลกไม่ใช่ดวงดาว (ไม่ใช่ดาวเคราะห์) และดวงดาวไม่ใช่โลก

ข้อ 19) แล้วแรงโน้มถ่วงล่ะ? (นาทีที่ 17:26) 

ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเป็นแนวคิดที่มาจากสมาชิกฟรีเมสัน เซอร์ ไอแซค นิวตัน ที่อ้างว่าการที่สิ่งของตกจากที่สูงลงมาที่ต่ำเป็นเพราะแรงดึงดูดของโลก และให้เหตุผลว่าของชิ้นเล็กจะถูกของชิ้นใหญ่กว่าดึงดูดเข้ามา และแน่นอนว่าแรงดึงดูด/แรงโน้มถ่วงไม่เคยเกิดขึ้นบนโลก และนักวิทยาศาสตร์อ้างว่าเพิ่งได้มีการค้นพบคลื่นแรงโน้มถ่วง แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ที่ได้จากการทดลองใด ๆ แรงโน้มถ่วงดูท่าจะเป็นแรงที่ไม่แน่นอนและมีความช่างเลือก แรงโน้มถ่วงเป็นเหตุผลของการที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดึงเข้ามาที่จุดศูนย์กลางของโลกและแรงโน้มถ่วงยังเป็นเหตุผลที่ดาวเคราะห์ต่าง ๆ หมุนโคจรรอบดาวที่มีขนาดใหญ่กว่า มันเป็นไปได้อย่างไรที่แรงบางอย่างที่มีอิทธิพลมากขนาดที่สามารถดึงน้ำในมหาสมุทร ดึงตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ และผู้คนให้อยู่ติดกับโลกไว้ได้ แต่ก็อ่อนแอมากที่ปล่อยให้นก แมลง และเครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้อย่างอิสระเสรีในทุกทิศทาง มันเป็นไปได้อย่างไรที่แรงโน้มถ่วงจะดึงน้ำในมหาสมุทรไว้ไม่ให้กระเด็นออกไปในอวกาศ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เรือลำเล็ก ๆ จมได้ 

เราถูกสอนมาว่าแรงโน้มถ่วงคือเหตุผลที่ดวงจันทร์โคจรรอบดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์โคจรรอบดวงดาวอีกที แต่ด้วยแรงเดียวกันนี่เองที่ทำให้คนอยู่ติดกับพื้นโลกได้ หรือมันควรจะทำให้คนโคจรรอบโลกกันแน่ และมันควรจะเป็นแรงที่ดึงดูดดวงจันทร์และดาวอื่น ๆ ให้เข้าไปสู่ดวงอาทิตย์ หรือเป็นแรงที่ทำให้ดวงจันทร์และดาวอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์กันแน่ ซึ่งอิทธิพลของแรงทั้งสองมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โลกตามธรรมชาติรอบตัวเราสามารถอธิบายได้ด้วยกฎแห่ง "ความหนาแน่น" และ "การลอยตัว" ก็คือสิ่งของตกลงมาเพราะมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศที่อยู่รอบ ๆ หรือถ้าหากสิ่งของนั้นมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศรอบ ๆ ของสิ่งนั้นก็จะลอยขึ้นไปเหมือนลูกบอลที่อัดด้วยก๊าซฮีเลียม ความหนาแน่นและการลอยตัวเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งของถึงลอยหรือจม เราไม่สามารถหาแรงโน้มถ่วงเจอได้บนโลกแห่งความจริง มันเป็นเพียงสิ่งโกหกหลอกลวง

#บทความเพิ่มเติม
2) ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์ (Imperfection of Einstein's Theory of Relativity)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2017/12/blog-post.html

15) ที่มาที่ไปของระบบสุริยะ Heliocentric Model
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/04/15-heliocentric.html

19) แผนการยึดครองโลกของยิว
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/06/19_27.html

62) งานเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปี ของสมาคมฟรีเมสัน (31 ต.ค. 2017)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/10/300.html

ข้อ 20) แล้วการเกิดฤดูกาลล่ะ? (นาทีที่ 19:29) 

ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลกขยับไปเรื่อย ๆ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ตรงบริเวณเส้น Tropic of Cancer (เส้นรุ้งเขตร้อนเหนือ) คือบริเวณที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด เป็นจุดศูนย์กลางของโมเดลโลกแบนก็จะเกิดฤดูร้อนในประเทศแถบนั้นและเป็นหน้าหนาวของประเทศที่อยู่ทางซีกโลกใต้ เมื่อดวงอาทิตย์ขยับมาลอยตรงบริเวณ Tropic of Capricorn ก็จะเป็นฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกใต้ และเป็นฤดูหนาวของทางซีกโลกเหนือ ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กและอยู่ใกล้โลกมากซึ่งไม่ใช่อย่างที่เราถูกสอนมา นั่นจึงเป็นเหตุผลของการเกิดฤดูกาล ถ้าหากว่าดวงอาทิตย์อยู่ห่างไกลมากถึง 93 ล้านไมล์ เราก็ไม่ควรรู้สึกถึงความแตกต่างของอุณหภูมิในระหว่างวัน (ระหว่างที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตกอุณหภูมิมีความแตกต่างกันมากถึง 10-20 องศา) และก็ไม่ควรมีฤดูกาลที่แตกต่างกันมากถึง 4 ฤดู


ลองศึกษาเพิ่มเรื่อง Solar Analemma และ Lunar Analemma จะสอดคล้องกับโลกที่มีลักษณะแบนมากกว่าโลกกลม เขียนรายละเอียดไว้ให้ในบทความด้านล่างนี้แล้ว



#บทความเพิ่มเติม
52) การโคจรของดวงอาทิตย์และการเกิดฤดูกาลในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/52_28.html

-------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 1) ข้อที่ 1 - 10
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/63-35-35-1-10.html

ตอนที่ 2) ข้อที่ 11 - 20 
 https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/64-35-35-11-20.html

ตอนที่ 3) ข้อที่ 21 - 30 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/65-35-35-21-30.html

ตอนที่ 4) ข้อที่ 31 - 35 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/67-35-35-31-35.html

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

63) ตอบคำถามเกี่ยวกับโลกแบน 35 ข้อ ภายใน 35 นาที (ข้อที่ 1-10)

ตอบคำถามเกี่ยวกับโลกแบน 35 ข้อ ภายใน 35 นาที



35 Most Common Flat Earth Questions Answered in 35 Minutes
https://www.youtube.com/watch?v=VaonmDdVWaY

ข้อ 1) โลกแบนมีลักษณะอย่างไร? (นาทีที่ 0:15) 

โมเดลโลกแบนมีลักษณะแบบเดียวกับแผนที่ที่เรียกว่า Azimuthal Equidistant ที่ USGS (U.S. Geological Survey - องค์กรสำรวจทางธรณีวิทยา ของสหรัฐอเมริกา) ใช้ และมีลักษณะเดียวกับแผนที่โลกในโลโก้ของ UN นอกจากนั้นยังมีแผนที่โลกของ Alexander Gleason ที่ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นชาร์ตสำหรับการคำนวณเวลาได้ทั่วโลก ในโมเดลโลกแบนทิศเหนืออยู่ตรงกลาง ส่วนแอนตาร์คติกาคือขอบน้ำแข็งล้อมรอบมหาสมุทรต่าง ๆ ไว้ Mercrater map ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1569 ก็มีลักษณะแบบเดียวกับแผนที่โลกแบนที่แสดงให้เห็นภูเขาแม่เหล็ก (magnetic mountain) อยู่ตรงกลางของอาร์คติกและมีแผ่นดิน 4 ผืนล้อมรอบอยู่ ลักษณะของโลกในอารยธรรมโบราณก็แสดงภาพของโลกในลักษณะเดียวกับโลกแบน

แผนที่โลกแบนมีลักษณะแบบเดียวกับแผนที่โลกที่เรียกว่า Azimuthal Equidistant





แผนที่โลกแบนที่ Alexander Gleason ใช้ประดิษฐ์ time chart และจดสิทธิบัตรไว้ตั้งแต่ปี 1892



แผนที่โลกแบนก็ใช้เป็นแผนที่บอกเส้นทางการบินได้เรียกว่า Air Age Map





#บทความเพิ่มเติม

21) ต้นกำเนิดแผนที่แบบ Azimuthal Equidistant (AE) ของ Giovanni Domenico Cassini
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/blog-post.html

29) แผนที่โลกแบนของ Alexander Gleason ปี 1893
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/12/29-alexander-gleason-1893.html

32) Map Projections - A Working Manual (U.S. Geological Survey Professional Paper 1395
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/01/32-map-projections-working-manual-us.html

51) Planisphere อุปกรณ์ดูดาวที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/51-planisphere.html


ข้อ 2) ขอบโลกอยู่ไหน? (นาทีที่ 1:09)

คนส่วนใหญ่มักถามว่า "ถ้าโลกแบนแล้วขอบโลกอยู่ตรงไหน?" ภาพโลกที่มีขอบโลกแล้วเรือกำลังจะตกเป็นภาพที่คนส่วนมักจะจินตนาการไว้ แต่ที่จริงในโมเดลโลกแบนไม่มีขอบโลกเพราะแอนตาร์คติกาคือขอบน้ำแข็งที่กั้นน้ำจากมหาสมุทรไว้ และมักจะมีคนท้าให้พิสูจน์ขอบน้ำแข็งที่ว่าด้วยการบอกให้ชาวโลกแบนบินไปถ่ายรูปมาให้ดูโดยที่พวกเขาไม่เคยศึกษาข้อมูลก่อนว่าเป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีการลงนามในสนธิสัญญา Antarctica Treaty ห้ามไม่ให้มีใครผ่านเส้นละติจูดที่ 60 องศาใต้โดยไม่ขออนุญาตก่อน ส่วนบริษัททัวร์ที่มีการจัดทริปไปเที่ยวขั้วโลกใต้ก็ไปได้แค่บริเวณที่กำหนดไว้เท่านั้น เคยมีนักสำรวจที่เข้าพื้นที่แอนตาร์คติกาโดยไม่ขออนุญาตเขาได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงซากเรือที่ถูกพัดอยู่ในทะเล เราจะได้เห็นภาพภูเขาน้ำแข็งที่สูงชันอยู่บ้างทั้งภาพนิ่งและภาพมุมสูง

Antarctica's Ice Walls - Amazing footage - Must Watch.

Arctic Trucks Exploration: Icebreaker Ship Arrival
https://www.youtube.com/watch?v=NVAaiMMXe1M

#บทความเพิ่มเติม
42) ตอบคำถามเรื่อง Antarctica
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/05/42-antarctica.html

46) แหล่งทรัพยากรแร่ธาตุใน Antarctica
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/07/antarctica-antarctica-1.html

ข้อ 3) ดวงอาทิตย์ในโมเดลโลกแบนอยู่ตรงไหน? (นาทีที่ 2:07)

ดวงอาทิตย์ในโมเดลโลกแบนโคจรวนรอบโลกตามเข็มนาฬิกา ภาพที่เราเห็นดวงอาทิตย์หายลับไปที่ขอบฟ้าไม่ใช่ดวงอาทิตย์ตกแบบที่เราเข้าใจ แต่เป็นการเห็นภาพแบบ perspective ที่จะมีจุด vanishing point ทำให้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ หายลับตาไป ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ค่อย ๆ ลอยห่างออกไปจนเรามองไม่เห็น ในโมเดลโลกกลมบอกว่าดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ (ประมาณ 149,668,992,000 กม.) แต่ที่ตาเราเห็นคือดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กและอยู่ใกล้โลกมาก แสงจากดวงอาทิตย์ให้ความสว่างเพียงแค่ครึ่งนึงของพื้นที่ของโลก แม้ว่าจะมีข้อโต้เถียงกันมากเกี่ยวกับดวงอาทิตย์แต่มีอยู่อย่างนึงที่เราทุกคนเห็นเหมือนกันคือดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก ไม่ใช่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

#บทความเพิ่มเติม
49) เรื่องของดวงอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้า กฎ perspective และจุดรวมสายตา (vanishing point)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/49-perspective-vanishing-point.html

52) การโคจรของดวงอาทิตย์และการเกิดฤดูกาลในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/52_28.html

38) สุริยุปราคาและจันทรุปราคาในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/04/38.html

36) ตอบคำถามจากใน inbox 'ทำไมโลกต้องแบนเป็นรูปวงกลม' (20 มี.ค. 2562)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/04/36-inbox-20-2562.html

ข้อที่ 4) แล้วเรื่องที่ว่าท้องเรือหายไปตรงเส้นขอบฟ้าล่ะ? (นาทีที่ 3:02)

ที่จริงแล้วเรือไม่ได้จมหายไป ณ เส้นขอบฟ้า แต่เป็นเพราะข้อจำกัดของตามนุษย์ที่เรามองเห็นภาพแบบ perspective และมีจุดรวมสายตา (ที่เรียกว่า vanishing point) ทำให้เรามองเห็นเรือค่อย ๆ หายไป ข้อโต้แย้งที่ว่าเรือหายไป ณ เส้นขอบฟ้านั้นสามารถพิสูจน์ได้ง่ายมากด้วยการใช้กล้องส่องทางไกลหรือกล้องถ่ายภาพซูมเข้าไป เราก็จะเห็นภาพเรือกำลังวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าโลกกลมจริงเราต้องไม่สามารถซูมเห็นภาพเรือกลับมาได้อีกเพราะเรือต้องถูกโค้งลงไปตามความโค้งของโลกจนเราไม่สามารถซูมภาพกลับมาได้ การที่เรือหายไปและถูกซูมกลับมาใหม่ได้ก็พิสูจน์ได้ว่าเราเห็นภาพแบบนั้นเป็นเพราะข้อจำกัดของตาเรา (รวมทั้งเลนส์กล้อง) ซึ่งเป็นไปตามกฎ perspective ไม่ใช่เพราะความโค้งของโลก




#บทความเพิ่มเติม
49) เรื่องของดวงอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้า กฎ perspective และจุดรวมสายตา (vanishing point)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/49-perspective-vanishing-point.html

ข้อที่ 5) หากโลกแบนจริงทำไมเราไม่สามารถมองข้ามมหาสมุทรได้? (นาทีที่ 3:47) 

การที่โลกมีลักษณะแบนไม่ได้หมายความว่าสายตาของเราจะมองเห็นได้ไม่มีที่สิ้นสุด สายตามนุษย์มองเห็นได้ในระยะทางจำกัดแม้ว่าจะเป็นในวันที่มีสภาพอากาศโปร่งก็ตาม และยิ่งมองได้ไกลน้อยลงในวันที่มีเมฆหมอกมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะมองเห็นข้ามมหาสมุทรได้เพราะเป็นไปตามกฎ perspective ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความโค้งของโลก

ข้อที่ 6) แล้วการสำรวจรอบโลกเป็นไปได้อย่างไรในโลกแบน? (นาทีที่ 4:22)

ในโมเดลโลกแบนการสำรวจรอบโลกก็หมายถึงการเดินทางวนรอบโลกจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ถ้าวนไปจนครบรอบก็จะมาอยู่ที่จุดเดิม เช่นเดียวกันกับเดินทางวนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก เฟอร์ดินาน แมคเจลแลนเป็นคนแรกที่เดินทางวนรอบโลกก็ล่องเรือจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก แต่การเดินทางในลักษณะนี้ก็เป็นไปได้ทั้งในโมเดลโลกกลมและโลกแบน

Circumnavigating a FLAT EARTH for Dummies


Mirrored from Terra Plana

#บทความเพิ่มเติม
36) ตอบคำถามจากใน inbox 'ทำไมโลกต้องแบนเป็นรูปวงกลม' (20 มี.ค. 2562)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/04/36-inbox-20-2562.html

43) Dr. Auguste Piccard นักวิทยาศาสตร์ผู้กล่าวว่าโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/05/43-dr-auguste-piccard-stratposphere-1931.html

ข้อที่ 7) แล้วการดิ่งพสุธาของ Felix Baumgartner ในโปรเจ็คของ Red Bull ล่ะ? (นาทีที่ 4:57)

การดิ่งพสุธาที่จัดขึ้นโดย Red Bull ในปี 2012 นั้น Felix Baumgartner นักดิ่งพสุธาชาวออสเตรียกระโดดลงมาจากอวกาศในชั้น startosphere จากความสูงถึง 128,000 ฟุต (ประมาณ 39 กิโลเมตร) ซึ่งคุณจะมองเห็นได้ว่ากล้องที่ถ่ายภาพด้านนอกยานนั้นใช้เลนส์มุมกว้าง (หรือที่เรียกว่า fisheye lens - เลนส์ตาปลา) ในขณะที่ภาพถ่ายจากด้านในใช้เลนส์ปกติ จะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือภาพถ่ายด้านนอกยานจะมองเห็นว่าโลกมีความโค้ง แต่ภาพจากด้านในแสดงให้เห็นว่าโลกมีลักษณะแบน มันยังไม่ใช่แค่นั้น Felix กระโดดลงมาจากบริเวณประเทศเม็กซิโก ซึ่งเราจะเห็นว่าโลกกลมที่อยู่ในภาพนั้นคือแผ่นดินของประเทศเม็กซิโกที่ใหญ่มากกินพื้นที่ไปเกือบเต็มโลกทั้งใบ ทำให้เห็นชัดว่ามันเป็นภาพที่ถ่ายด้วยการใช้เลนส์มุมกว้าง (กล้อง GoPro ใช้เลนส์มุมกว้างทุกรุ่น) และอีกอย่างโลกก็ไม่เห็นจะหมุนเลยซักนิด (ดูภาพในคลิปนี้ดี ๆ จะเห็นชัดเลยว่าภาพโลกโค้งที่เห็นเป็นเพราะเลนส์)

Red Bull Stratos FULL POV | Felix Baumgartner's Stratosphere Jump


Effect of Fisheye Lens

ข้อที่ 8) แล้วมีอะไรอยู่ใต้โลกแบน? (นาทีที่ 5:45) 

คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าข้างใต้โลกมีอะไร มนุษย์สามารถขุดลงไปได้ลึกที่สุดเพียงแค่ 8 ไมล์ (12 กม.) แม้แต่ชาวโลกกลมเองก็ไม่รู้ว่าข้างในโลกมีอะไร เวลาคนจินตนาการภาพโลกแบนมักจะคิดว่าโลกแบนเป็นแผ่นดิสก์ลอยอยู่ในอวกาศ แต่ที่จริงข้อมูลเรื่องอวกาศทั้งหมดช่างไม่สมเหตุสมผลด้วยทฤษฎีต่าง ๆ ของโลกกลม ในทุกอารยธรรมบนโลกให้ข้อมูลว่าโลกมีลักษณะแบนและมีแกนยึดอยู่ อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าข้างใต้โลกนั้นมีอะไร

หลุมที่ถูกขุดลึกที่สุดในโลกชื่อว่า Superdeep Borehole อยู่ในรัสเซีย มีความลึกประมาณ 12 กม. และจุดที่มนุษย์สามารถลงไปลึกที่สุดใต้น้ำคือที่บริเวณร่องลึกมาเรียน่า ก็มีความลึกประมาณ 10.99 กม.เท่านั้นเอง (อ่านข้อมูลเพิ่มจากในลิงค์ด้านล่างได้)

The Deepest Hole in the World, And What We've Learned From It
https://youtu.be/zz6v6OfoQvs


#บทความเพิ่มเติม
54) ข้างใต้โลกแบนมีอะไร? อีกด้านนึงของโลกคืออะไร?
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/09/54.html

ข้อที่ 9) แล้วโลกแบนเคลื่อนที่ไหม? (นาทีที่ 6:29)

ในโมเดลโลกแบนโลกไม่มีการเคลื่อนที่ โลกแบนอยู่นิ่งไม่หมุน แต่ที่เคลื่อนที่ก็คือดวงดาว (เทห์ฟ้า) ทั้งหมด รวมทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรวนรอบโลก ไม่มีใครบนโลกสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ใด ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากเพราะวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต่างบอกว่าโลกหมุนรอบตัวเอง 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (1,609.34 กม./ชม.) และหมุนรอบดวงอาทิตย์อีก 67,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (107,826.048 กม./ชม.) และระบบสุริยะทั้งหมดกำลังเคลื่อนที่ไปในอวกาศอีก 500,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (804,672 กม./ชม.) ไปในใจกลางของทางช้างเผือก และยังพุ่งไปในจักรวาลอีก 670 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง (1,078,260,480 กม./ชม.) แต่เราไม่เคยรู้สึกอะไรเลย

The helical model - our solar system is a vortex


ข้อ 10) แล้วดาวเทียม สถานีอวกาศ ISS และกล้องฮับเบิลล่ะ? (นาทีที่ 7:23)

มันอาจจะดูบ้าที่จะบอกว่าดาวเทียมไม่มีอยู่จริง NASA บอกว่าเรามีดาวเทียม สถานีอวกาศ ISS และกล้องถ่ายภาพฮับเบิลลอยอยู่ในอวกาศซึ่งใช้ส่งสัญญาณภาพและวิดีโอกลับมายังโลก พวกเราทุกคนต่างก็เชื่อตามที่นาซ่าบอก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดซึ่งเราสามารถพิสูจน์ได้ง่าย ๆ เพราะภาพทุกภาพที่เราเห็นทำมาจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งหมด ลองคิดดูซิว่าถ้าเรามีดาวเทียมลอยอยู่รอบโลกเป็นหมื่น ๆ ดวงอยู่ตอนนี้ ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นดาวเทียมลอยผ่านหน้าดวงจันทร์เลย (แต่ก็มีคนถ่ายภาพสถานีอวกาศ ISS มาได้ แต่ทำไมมีแค่ ISS ทั้งที่บอกว่ามีดาวเทียมลอยอยู่เยอะมาก) ความคิดเกี่ยวกับดาวเทียมถูกคิดขึ้นมาโดยนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่เป็นสมาชิกฟรีเมสันชื่อว่า Arthur C. Clarke เขาเขียนแนวคิดนี้ลงในนิตยสาร Wireless World Radio and Electronics เมื่อปี 1945

แต่ข้อมูลจริงก็คือเรามีสายเคเบิลใต้น้ำที่ส่งข้อมูลเพื่อการสื่อสารกว่า 90% ข้ามมหาสมุทรไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งหมายรวมถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ของทั้งโลก ส่วน GPS ใช้ระบบการส่งสัญญาณจากเสาสูงหรือตึกสูง ส่วนการส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมก็หันจานไปด้วยมุม 45 องศาไปยังอาคารหรือเสาสูงที่ส่งสัญญาณมาให้ นาซ่าถูกจับได้หลายครั้งว่ามีการใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการถ่ายภาพจาก ISS ทั้งการใช้เทคนิคการถ่ายวิดีโอบน green screen การใช้สายสลิงยึดตัวนักบินอวกาศไว้เพื่อหลอกว่ากำลังอยู่ในอวกาศที่ไร้แรงโน้มถ่วง ทั้งยังมีฟองอากาศลอยออกมาจากชุดนักบินอวกาศก็หลายครั้ง ซึ่งนาซ่าเองก็ยอมรับว่ามีการฝึกนักบินอวกาศใต้น้ำจริง

จากคลิปนี้อธิบายว่าสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตมาจากเคเบิลใต้ท้องทะเลไม่ใช่จากดาวเทียม Ninety five of all telephone and data is transferred from the submarine cable. Not satellite!! 95% ของสัญญาณโทรศัพท์และการส่งข้อมูลดาต้ามาจากสายเคเบิลใต้ทะเล ไม่ใช่จากดาวเทียม


Inside the installation of new undersea transatlantic cable

Sir Arthur C. Clarke เป็นนักเขียนนิยายแนว Sci-fi ที่ดังมากในอังกฤษ และนิยายเรื่อง 2001: A Space Odyssey ได้ถูกเอามาทำเป็นภาพยนตร์ที่มี Stanley Kubrick เป็นผู้กำกับ และมันถูกฉายในปี 1968 หนึ่งปีก่อน Apollo 11 ไปเยือนดวงจันทร์ ภาพสุดท้ายเป็นภาพของ Arthur และผู้กำกับ Stanley พร้อมกับนักบินอวกาศและเจ้าหน้าที่จาก NASA ถ่ายในอังกฤษประมาณปี 1965 



    




คลิปต่าง ๆ จากองค์กรอวกาศทั้งหลายที่ถูกจับผิดว่ามีการใช้สลิง ใช้ Blue screen ใช้ CG และเทคโนโลยีอื่น ๆ ในการถ่ายทำ

Glitch City Blues - I.S.S - Fake Space

NASA- More Blunders - Astronaut falls from ceiling (ญี่ปุ่น)


NASA - China Faking Zero Gravity & Space. New (จีน)


NASA DUTCH ASTRONAUT ISS SCREW DROP FAILURE GRAVITY AT WORK 
(นักบินอวกาศชาวดัทช์ทำน็อตหล่น)
https://www.youtube.com/watch?v=B-dNCJXTye0


แรงดึงดูดเริ่มทำงานกี่โมง?


Drinking in ZERO-G! (and other challenges of a trip to Mars)

#บทความเพิ่มเติม
19) ว่าด้วยเรื่องระบบการบิน การเดินเรือ และการใช้อุปกรณ์ GPS, เรดาร์, ไจโรสโคป และดาวเทียม (GPS, RADAR, Gyroscope, and Satellites)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/06/19-gps-gps-radar-gyroscope-and.html

50) ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง GPS และคุณสมบัติของคลื่นวิทยุที่จะช่วยยืนยันได้ว่าโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/50-gps.html

53) ทำไมชาวโลกแบนถึงคิดว่าอวกาศเป็นเรื่องหลอกลวงและดาวเทียมไม่มีจริง https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/53.html

6) มนุษย์เราสามารถอาศัยอยู่ในอวกาศได้จริงหรือ??? Can we live in space?
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/can-we-live-in-space.html

2) ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์ (Imperfection of Einstein's Theory of Relativity)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2017/12/blog-post.html

3) โครงการ Apollo ได้พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์จริงหรือไม่ (ตอนที่ 1)
What Happened on the Moon? - An Investigation Into Apollo (2000)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/3-apollo.html

4) โครงการ Apollo ได้พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์จริงหรือไม่ (ตอนที่ 2)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/4-apollo-2.html

7) เหตุการณ์โศกนาฎกรรมชาเลนเจอร์เมื่อปี 1986 ของจริงหรือของปลอม?? (ตอนที่ 1)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/1986-challenger-disaster-1986.html

8) เหตุการณ์โศกนาฎกรรมชาเลนเจอร์เมื่อปี 1986 ของจริงหรือของปลอม?? (ตอนที่ 2)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/8-1986-2.html

-------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 2) ข้อที่ 11 - 20 

ตอนที่ 3) ข้อที่ 21 - 30 

ตอนที่ 4) ข้อที่ 31 - 35 

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

62) งานเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปี ของสมาคมฟรีเมสัน (31 ต.ค. 2017)


The Freemasons Tercentenary Celebration [FULL VIDEO STREAMED]


สมาคมลับฟรีเมสัน (Secret Society of Freemasons)
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2017 สมาคมฟรีเมสันได้มีพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปี (ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1717) โดยจัดงานกาล่าที่ The Royal Albert Hall ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีสมาชิกมาเข้าร่วม 5,000 คน สมาชิกผู้ทรงเกียรติที่มาร่วมงานมี เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และเจ้าชายไมเคิลแห่งเคนต์ ร่วมการเฉลิมฉลองด้วย




ในงานมีการแสดงละคร การบรรเลงเพลงดนตรีคลาสสิค และการแสดงร้องเพลงโอเปร่าบนเวทีที่มีสัญลักษณ์ไม้ฉากและวงเวียน (square and compass) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมนี้เป็นฉากหลังพร้อมกับมีสัญลักษณ์ดวงตา All-Seeing-Eye (แบบเดียวกับที่อยู่ด้านหลังธนบัตรดอลล่าร์ของสหัรัฐอเมริกา) อยู่ด้วย





ช่วงเริ่มต้นมีการแนะนำกิจกรรมการกุศลที่บริจาคเงินให้เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งคลิปแสดงความขอบคุณจากมูลนิธิที่ได้รับเงินบริจาคจากฟรีเมสัน ต่อมามีการแนะนำเครือข่าย (The Grand Lodge) ของสมาคมที่อยู่ในแต่ละประเทศทั่วโลก ตามด้วยละครเวทีเล่าถึงประวัติความเป็นมาของฟรีเมสันในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นฉากที่จอร์จ วอชิงตัน กำลังคุยกับเบนบจามิน แฟรงคลินในการสร้างประเทศใหม่ภายใต้นโยบายของมาคมฟรีเมสัน ต่อมาประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันได้เอ่ยขึ้นมาว่า หลังจากที่เขาหมดวาระแล้วจะมีใครเป็นขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาและเป็นฟรีเมสันบ้างไหม ปรากฎว่ามีหลายคนเลยทีเดียว



จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาเป็นฟรีเมสัน

ข้อมูลจากเว็บ https://grandlodgeofvirginia.org/us-presidents-freemasons/ บอกว่ามีทั้งหมด 14 คน ที่จริงมีเยอะกว่านี้ และไม่ใช่แค่ตำแหน่งประธานาธิบดี ตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็มี ตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารประเทศระดับสูงก็มี

1 George Washington (1st President, 1789 – 1797)
2 James Monroe (5th President, 1817 – 1825)
3 Andrew Jackson (7th President, 1829 – 1837)
4 James Knox Polk (11th President, 1845 – 1849)
5 James Buchanan (17th President, 1865 – 1869)
7 James Abram Garfield (20th President, 1881)
9 Theodore Roosevelt (26th President, 1901 – 1909)
10 William Howard Taft (27th President, 1909 – 1913)
11 Warren Gamaliel Harding (29th President, 1921 – 1923)
12 Franklin Delano Roosevelt (32nd President, 1933 – 1945)
13 Harry S. Truman (33rd President, 1945 – 1953)
14 Gerald R. Ford, Jr. (38th President, 1974 – 1977)

สมาคมฟรีเมสันขยายเครือข่ายโดยการส่งสมาชิกฟรีเมสันไปก่อตั้ง Grand Lodge ในหลาย ๆ ประเทศ รวบรวมสมาชิกจากหลากหลายศาสนาเข้าด้วยกัน ต่อมามีตัวละครที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นฟรีเมสันหลายคน เช่น Oscar Wilde (นักเขียนชาวอังกฤษ) Monsieur de Voltaire (นักเขียนชาวฝรั่งเศส) Baron de Montesquieu (นักปรัชญาการเมือง) John Locke (นักปรัชญา นักฟิสิกส์ นักคิดชาวอังกฤษ) Johann Wolfgang von Goethe (นักเขียน นักปรัชญาชาวเยอรมัน) ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตเพื่อ enlightenment (แปลว่าการรู้แจ้ง) ให้กับสมาชิกที่เพิ่งเข้ามาใหม่

ต่อมามีการแนะนำบุคคลที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการที่เป็นฟรีเมสัน มีทั้งกษัตริย์และราชวงศ์ในยุโรป นักแสดง นักดนตรี นักเขียน นายทหาร ผู้สร้างภาพยนตร์ นักธุรกิจ นักประดิษฐ์ และนักบินอวกาศ เช่น 

Gustav IV Adolf กษัตริย์ของสวีเดน
Wolfgang Amadeus Mozart โมสาร์ท นักดนตรีคลาสสิค
Johann Christian Bach บาร์ค นักดนตรีคลาสสิค
Luigi Cherubini เชอรูบินิ นักดนตรีคลาสสิค
Irving Berlin เบอร์ลิน นักดนตรี นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
William Hogarth จิตรกรชาวอังกฤษ
John Zoffany จิตรกรชาวเยอรมัน
Marc Chagall จิตรกรชาวรัสเซีย
Edward Jenner นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ
Charles Horace Mayo จิตแพทย์ชาวอเมริกัน
John Herschel Glenn นักบินอวกาศ วิศวกร นักธุรกิจ และนักการเมือง
เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้โคจรรอบโลก 3 รอบในปี 1962
Larry Gordon Cooper นักบินของกองทัพอเมริกัน และเป็นนักบินอวกาศในโครงการ Project Mercury
Sir Malcolm Campbell นักแข่งรถชาวอังกฤษ
Harold Maurice Abrahams นักกรีฑาชาวอังกฤษ ได้แชมป์โอลิมปิกปี 1924
Jack Dempsey นักมวย
Sir William S. Gilbert นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ
Sir Arthur Sullivan นักแต่งเพลง













ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้เคยกล่าวคำแถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อขอให้สื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ
สมาคมลับที่มีอิทธิพลต่อสหรัฐอเมริกาให้ประชาชนรับทราบข้อมูล
วันที่ 27 เม.ย. 1961 ที่โรงแรม Waldorf-Astoria Hotel, นิวยอร์ค
--------------------------------------------------------