วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2563

66) กำเนิด Luciferian...สู่ NWO กับ Great Deception ผ่านวิทยาศาสตร์

กำเนิด Luciferian...

สู่ NWO กับ Great Deception  

ผ่านวิทยาศาสตร์

แด่ผู้ที่แสวงหาสัจธรรมด้วยใจบริสุทธ์
บทความนี้เรียบเรียงบนหลักฐานของมุสลิมและคริสต์
สำหรับผู้ที่เชื่อเฉพาะวิทยาศาสตร์และมองศาสนาเป็นเรื่องงมงาย.
เขาไม่เหมาะกับบทความนี้


 กำเนิดลูซิเฟอเรียน

       รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์(ภรรยาท่านบีมูฮัมมัด)กล่าวว่า ท่านศาสนทูตกล่าวว่า เหล่ามะลาอิกะฮ์(เทวทูต)ถูกสร้างมาจากรัศมี   และญิน(อีกหนึ่งสิ่งถูกสร้าง เช่น ลูซิเฟอร์)นั้นถูกสร้างมาจากไฟที่ไร้เปลวควัน  และอาดัม(มนุษย์คนแรก)ถูกสร้างจากสี่งที่ถูกทำลักษณะแก่พวกเจ้า 

       (ประเด็นนี้อาจเป็นรายละเอียดที่แตกต่างกันระหว่างคริสต์และอิสลาม เพราะคริสต์เชื่อว่าลูซิเฟอร์คือหนึ่งจากเทวทูต แต่มุสลิมเชื่อว่าอิบลีส/ลูซิเฟอร์นั้นคือญินเพราะถูกบังเกิดต่างจากเทวทูต)


 ท่านหญิงอาอิชะฮ์กล่าวว่า ประชาชาติกล่าวตรงกันว่า อิบลีส(ลูซิเฟอร์)ถูกสร้างมาก่อนอาดัมและบรรดาตัวบทหลักฐานได้ไห้ประจักว่า แท้จริงอิบลีส(ลูซิเฟอร์)เป็นส่วนหนึ่งจากญิน(ไม่ใช่เทวทูต) โดยก่อนหน้านั้นอิบลีส(ลูซิเฟอร์)เคยเป็นหนึ่งในผู้ได้รับเกียรติอันสูงส่งและอยู่ร่วมกับเหล่าเทวทูตท่านอื่นๆและเคยมีชื่อว่า อะซาซีล แต่ต่อมาเขาได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าดังที่พระองค์ตรัสว่า เว้นแต่อิบลีสมันอยู่ในจำพวกญิน   ดังนั้นมันจึงฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าของมัน”  


ซึ่งการล่อลวงต่างๆบนโลก...เริ่มต้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้


  เมื่อครั้งที่พระเจ้าปรารถนาสร้างอาดัมให้เป็นตัวแทนในพื้นแผ่นดินพร้อมกับวงศ์วานและลูกหลานของท่าน  ลูซิเฟอร์(อิบลีส)จึงขมักเขม้นกับการทำความดีเพราะหวังว่าจะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้  แต่เมื่อรู้ความจริงว่ามันจะไม่ได้รับตำแหน่งและอาดัมจะถูกสร้างขึ้นตามความประสงค์พระเจ้าอย่างแน่นอน  มันจึงกล่าวว่า “ถ้าข้า(ลูซิเฟอร์)ได้มีอำนาจเหนือเจ้า(อาดัม) ข้าจะทำลายเจ้า และหากว่าเจ้ามีอำนาจเหนือข้าแล้วข้าจะทำความชั่วต่อเจ้า”  และเมื่อพระเจ้าทรงเป่าวิญญาณไปในอาดัม พระองค์ทรงบัญชาให้เหล่าเทวทูตพร้อมด้วยลูซิเฟอร์ทำการหมอบกราบเพื่อเคารพแก่อาดัม บรรดาเทวทูตผู้ภักดีต่อพระองค์ต่างทำตามคำสั่งใช้ เว้นแต่ลูซิเฟอร์ที่ไม่ยอมทำตาม อันเนื่องจากความอิจฉาและริษยาอย่างแรงกล้า
       
ลูซิเฟอร์ได้ฝ่าฝืนและขัดขืนคำบัญชาของพระเจ้าเพราะความอิจฉาและทนงตน มันจึงอยู่ในสภาพเป็นผู้ห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์และหลุดพ้นจากตำแหน่งอันสูงที่มันเคยได้รับ แม้จะมีการงานที่ดีเยี่ยมที่เคยขมักเขม้นไว้จนเป็นหนึ่งในผู้มีเกียรติดั่งบรรดาเทวทูตท่านอื่น แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากธาตุแท้เดิมของมันได้ซึ่งก็คือกำเนิดจาก “ไฟ” มันยังกล่าวอีกว่าเมื่อใดที่มนุษย์มีความโกรธ อิจฉาริษยาเหมือนมัน นั่นแปลว่าธาตุแท้แห่งไฟของมันได้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์คนนั้นแล้ว


 ลูซิเฟอร์ซึ่งเคยอยู่ร่วมกับเหล่าเทวทูตจึงถูกเนรเทศจากกลุ่มชนชั้นสูงสู่พื้นดินในสภาพต่ำต้อย(เป็นเหตุให้ชาวคริสต์เรียกมันว่า Fallen Angel) ในสถานะเป็นชาวนรกพร้อมกับผู้ที่ดำเนินตามแนวทางของมันไม่ว่าผู้ตามนั้นจะมาจากญินหรือมนุษย์ก็ตาม
       จากกุรอาน อัลอะอฺรอฟ 11-18 พระองค์กล่าวในเรื่องราวทั้งหมดนี้ว่า
       และแท้จริง เรา(อัลลอฮฺ)ได้บังเกิดพวกเจ้า แล้วเราได้ให้พวกเจ้าเป็นรูปร่าง แล้วเราได้กล่าวแก่มะลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ว่า จงสุญูด(หมอบกราบ)ต่ออาดัมเถิด แล้วพวกเขา(เทวทูต)ก็สุญูดกัน นอกจากอิบลีส(ลูซิเฟอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งจากญิน)เท่านั้น ไม่ปรากฎว่ามันอยู่ในบรรดาผู้สุญูด

       พระองค์ตรัสว่า อะไรที่ขัดขวางเจ้าไม่ให้เจ้าสุญูดขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า ข้าพระองค์ดีกว่าเขา(อาดัม)โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้ามาจากไฟ และได้บังเกิดเขา(อาดัม)มาจากดิน 

       พระองค์ตรัสว่า จงลงจากสวน(สวรรค์)ไป ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหัง ออกไปให้พ้น แท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย 

       มันกล่าวว่า โปรดผ่อนผัน(ประวิงเวลา)ข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขา(อาดัมและลูกหลาน)ถูกฟื้นคืนชีพ 

       พระองค์ตรัสว่า แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน 

       มันกล่าวว่า ด้วยเหตุที่พระองค์ให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด(ไม่อภัยให้มันและขับไล่มันออกจากสวรรค์) แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ 
       และข้าพระองค์จะมายังพวกเขา จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขา และจากเบื้องขวาของพวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่ทรงพบว่าส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ขอบคุณ
       อัลลอฮ์(ซ.บ.)ตรัสว่า เจ้าจงออกจากสรวงสวรรค์นั้นไปในฐานะผู้ถูกติเตียนและถูกขับไล่ ข้าสาบานว่าผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า  ข้าจะบรรจุให้เต็มนรกทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด”


       ลูซิเฟอร์จึงยังมีชีวิตจนถึงปัจจุบันซึ่งถูกผ่อนผันไปจนถึงวันสิ้นโลก โดยมันได้สร้างบัลลังค์ขึ้นเหนือพื้นทะเลราวกับจะตั้งตนเทียบเคียงพระเจ้า ซึ่งพระองค์นั้นประทับอยู่เบื้องบนเหนือบัลลังก์ที่อยู่เหนือน้ำ ดังที่ท่านอิบนุมัสอูดได้กล่าวไว้ว่า บัลลังก์นั้นอยู่เหนือน้ำและอัลลอฮฺทรงอยู่เหนือบัลลังก์ ไม่มีการกระทำใดๆเลยของพวกเจ้าแม้แต่การกระทำเดียวที่จะอำพรางให้หลุดรอดจากพระองค์ไปได้ โดยที่ลูซิเฟอร์จะบัญชาเหล่าซาตานและสมุนของมันให้สร้างความชั่วและวุ่นวายต่างๆต่อมนุษย์ ดังที่ท่านศาสนทูตได้กล่าวว่า  “บัลลังค์ของอิบลีส(ลูซิเฟอร์)อยู่ในทะเล มันจะส่งทหารของมันในทุกๆวันซึ่งจะสร้างปัญหาและความสับสนวุ่นวายแก่มนุษย์ ทหารที่มีความดีความชอบและมีตำแหน่งใกลชิด ณ อิบลีส(ลูซิเฟอร์)คือผู้ที่ก่อเกิดความวุ่นวายแก่มวลมนุษย์ได้มากที่สุด  ซึ่งเป็นไปดังที่มันได้กล่าวต่อพระเจ้าไว้ว่ามันจะล่อลวงมนุษย์จากทุกทิศทุกทาง

 

การล่อลวงแรกของซาตานต่อมนุษย์

 

       การปฏิเสธคำสั่งใช้ของพระเจ้าและตั้งตนขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเองดังที่ลูซิเฟอร์เคยทำไว้ คือการล่อลวงแรกจากซาตานที่ได้บอกท่านนบีอาดัมและพระนางฮาวา(อีฟ)ว่าผลไม้ต้องห้ามนั้นจะไม่ทำให้ท่านตายแต่จะทำให้เป็นอมตะและเป็นได้ดั่งพระเจ้า

       ในคัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า 
ชัยฏอน(ซาตาน)ได้กระซิบกระซาบเขามันกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย ฉันจะชี้แนะแก่ท่านไปยังต้นไม้ที่อยู่เป็นนิจตลอดกาลและการมีอํานาจที่ไม่สูญสลายเอาไหม? ” (ตอฮา 20 : 120)

       ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันโดยได้กล่าวว่า

       ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นงูฉลาดที่สุด มันถามหญิงนั้นว่า จริงหรือที่พระเจ้าตรัสว่า ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’ ”

       หญิงนั้นจึงตอบงูว่า ผลของต้นไม้ในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสว่า ห้ามพวกเจ้ากินและแตะต้อง มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’ ”

       งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า พวกเจ้าจะไม่ตายเป็นแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบดีว่า ถ้าพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นในวันใดตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว (Genesis 3 : 1-5)

       “ตาสว่าง/ตารู้แจ้งจากการการปฏิเสธคำบัญชาของพระเจ้าและกลายเป็นพระเจ้าเสียเอง” คือการล่อลวงแรกของซาตานที่ยังคงมีอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน




ในไบเบิลได้กล่าวอีกว่า "และพญามังกรผู้ยิ่งใหญ่นั้นก็ถูกขับออกไป นั่นคืองูเก่าแก่ที่เรียกว่าพญามารและซาตาน ผู้ซึ่งล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก เขาถูกเหวี่ยงออกไปยังโลกและพร้อมกับพลพรรคของเขา"  (Revelation 12: 9) 


 จากจุดเริ่มต้นนี้เราจึงเห็นว่า งู / งูใหญ่ / มังกร มักเป็นสิ่งที่ได้รับการยกย่องบูชาดั่งพระเจ้าจากชนชาติต่างๆทั่วโลก ซึ่งแรกเริ่มมันคือการล่อลวงจากซาตานนั่นเอง



   หนึ่งในศาสนาแรกๆจากลูซิเฟอเรียน คือ โซโรอัสเตอร์(ศาสนาบูชาไฟ)ซึ่งเกิดในประเทศอิหร่าน ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาทวิเทวนิยมเชื่อว่ามีเทพเจ้า 2 องค์ คือเทพเจ้าแห่งความดีมีนามว่า อหุระมาซดะ (Ahura mazda) ที่สร้างแต่สิ่งดีงาม เช่น ความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และความสมหวัง กับอีกองค์หนึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่วหรือพญามาร มีนามว่า อหริมัน (Ahriman) ที่สร้างแต่สิ่งที่ชั่วร้าย เช่น ความอัปลักษณ์ ความอดอยาก ความทุกข์ ความผิดหวัง
       ดังที่มีสิ่งต่างๆอยู่คู่กันเสมอ เช่น ดี-ชั่ว สูง-ต่ำ ดำ-ขาว มืด-สว่าง หยิน-หยาง เทพทั้ง
 2 องค์นั้นก็ต่อสู้กันตลอดเวลา ซึ่งอหุระมาซดะ กล่าวว่า "เราอหุระมาซดะไม่ได้พักผ่อนอยู่สบายเลย เพราะเป็นความปรารถนาของเราที่จะคุ้มครองแก่สิ่งที่เราสร้างขึ้น และโดยทำนองเดียวกัน เขาอหริมันก็ไม่ได้พักผ่อน เพราะเป็นความปรารถนาของเขาที่จะนำความพินาศมาสู่ผู้ที่เราสร้างขึ้น" 
       เหตุที่เรียกโซโรอัสเตอร์ว่าศาสนาบูชาไฟ เพราะศาสนิกจะตามไฟตลอดเวลามิให้ดับ โดยใช้ไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งความสว่าง ความสะอาด ความรู้ และความดี เรื่องราวทุกอย่างนั้นช่างดูงดงามแต่มันชวนให้คิดไหมที่ครั้งหนึ่งลูซิเฟอร์(ผู้ถูกบังเกิดจากไฟ)ถูกบัญชาให้หมอบกราบต่ออาดัม(ผู้ถูกบังเกิดจากดิน) แต่หลังจากนั้นลูกหลานของอาดัมกลับไปเทิดทูนไฟเสียเอง
 
  


   การบูชาดวงอาทิตย์(ในฐานะเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง/แห่งการเห็นแจ้ง)มีรากเหง้ามาจากการบูชาเทพเจ้าอหุร มาซดะ โดยการบูชาดวงอาทิตย์เกิดในยุคที่จักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจซึ่งถูกบิดเบือนและเผยแพร่เข้าสู่ยุโรปในยุคจักรวรรดิโรมัน และเป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์กำลังเผยแผ่เข้าไปในขณะที่ผู้คนในโรมันยังคงบูชาสุริยเทพอยู่ จึงเป็นเหตุให้ผู้ปกครองหลอมรวมศาสนาคริสต์และการบูชาสุริยเทพเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการปกครอง และได้แทนที่สุริยเทพของ Pagan ด้วยพระบุตรจนกลายเป็นคริสต์โรมันคาทอลิกที่รู้จักกันในปัจจุบัน ซึ่งเราสามารถเห็นการบูชาดวงอาทิตย์ของโรมันคาทอลิกได้จากทั้งเครื่องหมายสัญลักษณ์  พิธีกรรม แม้แต่สถาปัตยกรรม 



 ดวงอาทิตย์จึงเป็นตัวแทนของลูซิเฟอร์ ดังเช่นคำยืนยันของสมาชิกฟรีเมสัน

       ชาวฟรีเมสันได้นมัสการพระอาทิตย์เป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับที่พวก Pagan กราบไหว้นมัสการมาตลอดบันทึกประวัติศาสตร์
       Albert Mackey ฟรีเมสันในระดับที่ 33

       "สิ่งที่เราต้องบอกกับผู้คนก็คือ พวกเราเป็นผู้ที่นมัสการในพระเจ้าสำหรับพวกท่านในฐานะผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุด(
Sovereign Grand Inspectors General) เราจะต้องพูดย้ำกับสมาชิกในระดับที่ 32 31 และ 30 ว่าศาสนาของพวกเราฟรีเมสันจะต้องยึดมั่นอยู่ในความบริสุทธิ์ในหลักคำสอนของลัทธิลูซิเฟอเรียน(Purity of the Luciferian Doctrine)…ใช่แล้ว ลูซิเฟอร์เป็นพระเจ้าความจริงและความบริสุทธิ์ศาสนาปรัชญาของเราก็คือความเชื่อในลูซิเฟอร์ว่าเทียบเท่ากับอะโดนาย(พระเจ้า) แต่ลูซิเฟอร์เป็นพระเจ้าของแสงสว่างและเป็นพระเจ้าแห่งความดีงามที่กำลังต่อสู้กับพระเจ้าแห่งความมืดและพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายเพื่อมวลมนุษยชาติ

       อัลเบิร์ต ไพค์ ในฐานะ 
Confederate General ฟรีเมสันในระดับที่ 33 และ Sovereign Pontiff of Universal Freemasonry ที่ได้กล่าวแก่ 23 Confederated Supreme Councils of the World เมื่อวันที่ 14 กค. 1889


       นอกจากการบูชาดวงไฟและดวงอาทิตย์แล้ว การบูชาดวงดาวคืออีกรูปหนึ่งของลูซิเฟอเรียน เพราะลูซิเฟอร์
เป็นชื่อของดาวศุกร์หรือดวงดาวแห่งยามรุ่งอรุณ ซึ่งมักปรากฏให้เห็นก่อนเสมอในยามเช้า จากอักษรละติน Lucem Ferre ซึ่งแปลว่า The Bringer of Light / ผู้นำแสงสว่างมาให้ ตามความเชื่อของคริสเตียนผ่านการตีความคัมภีร์ไบเบิลของนักบวชชาวกรีก


       การยกระดับจิตตนเองให้สูงขึ้นจนกลายเป็นได้ดั่งพระเจ้า(หรือที่เรียกว่า 
Ascension) คืออีกหนึ่งของการล่อลวงที่ยังคงดำเนินอยู่  ความเชื่อนี้ได้พัฒนาต่อมาในคัมภีร์ Cabala ที่นักบวชยิวแต่งขึ้นในยุคที่ไร้คัมภีร์โตรา(เตารอต) โดยนักบวชของยิวต้องการศึกษาคุณลักษณะแห่งพระเจ้า Sephiroth จนบรรลุและตั้งตัวเป็น Hight Priest(ผู้เข้าถึงความเป็นพระเจ้า) ระบบลำดับชั้นของนักบวชในศาสนาต่างๆที่กล่าวมาล้วนประดิษฐ์ริเริ่มโดยนักบวชยิวทั้งสิ้น ซึ่งตั้งแต่อดีตมาแล้วแนวความเชื่อนี้มีปรากฎอยู่ในหลายลัทธิ เช่น ลัทธิ New Age    



  ลัทธินิวเอจ(New Age Religion) เป็นลัทธิที่บูชาจิตวิญญาณซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของลัทธิลูซิเฟอเรียน  Helena Blavtsky ซึ่งเป็นเมสัน 32 ดีกรีและได้ชื่อว่าเป็นมารดาแห่ง New Age Movement เธอได้กล่าวยกย่องลูซิเฟอร์ในหนังสือ The Secret Doctrine ว่า “ปรัชญาในหลักความเชื่อนี้มีอยู่ว่า Lucifer เป็นเทวทูตที่ชื่อ Lux ผู้ที่เปล่งแสงในยามเช้า เขาถูกเรียกโดยศาสนจักรว่า Luficer หรือ Satan เพราะ Lux สูงส่งกว่าและเก่าแก่ว่าพระยะโฮวา ที่ต้องเสียสละชีพเพื่อสร้างลัทธิความเชื่อใหม่” 
       คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่า แทนที่ Helena Blavtsky จะบูชาพระยะโฮวา เธอกลับบูชาลูซิเฟอร์ดั่งพระเจ้า  



 เธอยังกล่าวอีกว่า “ซึ่งสิ่งนี้ยังยืนยันว่าซาตานหรือมังกรที่ลุกเป็นไฟสีแดง, ผู้สูงส่งที่ทรงส่องสว่าง, ผู้นำพาแสงสว่างมาให้ แท้จริงแล้วอยู่ในตัวเรา อยู่ในจิตวิญญานของเรา เป็นผู้กระตุ้น,เป็นผู้ไถ่ถอนของเรา ผู้กู้อิสรภาพให้กับอัจริยภาพของเรา เป็นเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเราจากการกลายเป็นสัตว์”

       จะเห็นว่ามารดาแห่งลัทธินิวเอจแสดงออกถึงการยกย่องลูซิเฟอร์และซาตานอย่างชัดเจน    


  แนวความคิดในลักษณะนี้ยังปรากฏให้เห็นทั่วไปในสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมี Key Word ที่สังเกตได้ คือ Third Eye(ตาที่สาม), Spiritual Enlightenment(การตื่นรู้, การรู้แจ้งทางจิตวิญญาน) ที่อ้างการรู้แจ้งเพื่อนำไปสู่การกลายเป็นสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ 





การล่อลวงสุดท้าย

ของพระเจ้าเทียมเท็จ

ในยุค New World Order



    วิวรณ์ 16: 2 และ 19:20 อ้างถึง "เครื่องหมายของสัตว์ร้าย" เป็นเครื่องหมายที่ระบุผู้ที่บูชาสัตว์ร้ายที่ออกจากทะเล(วิวรณ์ 13: 1) สัตว์นี้มักจะถูกระบุว่าเป็นมาร เครื่องหมายนี้มีการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกใน 13: 16-17 ที่สัตว์ถูกกำหนดให้ออกมาจากโลก (13:11)

       สัตว์ร้ายตัวที่สองคือผู้เผยพระวจนะเท็จ / Antichrist / ดัจญาล (19:20) ผู้บังคับการบูชามาร เครื่องหมายนี้เทียบเท่ากับชื่อหรือหมายเลขของสัตว์ร้าย (13:17; cf. 14:11) หมายเลขลึกลับนี้ประกาศใน 13:18 ว่าหมายถึง χξς หรือ 666


       คัมภีร์ไบเบิลได้ชี้ให้เห็นสัญลักษณ์ของแอนตีไครส์ด้วย “666”
       ส่วนท่านศาสนทูตมูฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ชี้ให้เห็นสัญลักษณ์ของดัจญาลด้วย “ตาเดียว”

               

       ท่านศาสนทูตได้กล่าวว่า "ไม่มีศาสนทูตท่านใดที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมานอกจากจะมาเตือนกลุ่มชนของท่านถึงดัจญาลจอมโกหก(Antichrist/False Messiah) แต่ฉันจะบอกท่านทั้งหลายในสิ่งที่บรรดาศาสนทูตเหล่านั้นไม่ได้บอกกล่าวแก่กลุ่มชนของพวกเขาเลย นั่นก็คือ ดัจญาลมีตาเดียว แต่อัลลอฮฺมิได้มีตาเดียว
ดู บันทึกโดยบุคอรี 6175 และมุสลิม 169 

       เป็นที่ทราบกันว่า ตาเดียว” นั้นคือลักษณะของดัจญาลจอมโกหก(แอนตีไครส์)ที่จะล่อลวงคนทั้งโลกในยุค New World Order แต่ในขณะเดียวกันตาเดียวคือสัญลักษณ์ที่ผู้ปฏิเสธพระเจ้าใช้บูชาอาทิตย์(ตัวแทนของลูซิเฟอร์) มานานนับพัน นับหมื่นปีแล้ว ดังเช่น
 

       ตาเดียวในอียิปต์ เรียกว่า "Eye of Ra" ดวงตาแห่งราซึ่งเป็นสุริยเทพสูงสุดของอียิปต์ หรือ "Eye of Horus" ดวงตาแห่งโฮรัส สุริยเทพตาเดียวซึ่งเป็นบุตรของโอซิริส / หลานของเทพรา มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ Sun Disc/ดวงสุริยาเหนือศีรษะของเทพราจะมีงูอยู่ด้วยเสมอ



  ตาเดียวมีอีกชื่อว่า Left Eye of Lucifer ซึ่งหมายถึง ดวงตาแห่งการเห็นแจ้ง (All Seeing Eye) ในปี 1980 มีการค้นพบแท่นหินรูปปีรามิดที่มีอายุ 10,000-12,000 ปี โดยกลุ่มนักสำรวจแร่ทองคำที่ทำงานในอุโมงค์ใต้ดินของภูเขาลึกลับ La Maná ที่ปกคลุมไปด้วยป่าในประเทศเอกวาดอร์ โดยวางอยู่คู่กับหินสลักรูปงู ทั้งสองชิ้นสามารถเรืองแสงในที่มืด มีอักษรสลักด้านใต้ปีรามิดแปลความได้ว่า “บุตรของพระผู้สร้าง (Sun God หรือ Son of God) ได้เคยจุติลงมายังโลกมนุษย์จากทิศของกลุ่มดาวนายพราน(Orion)

       ต่อมาในปี 1776 รูปปีรามิดนี้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอิลูมินาติ เพื่อผลักดันโลกสู่ New World Order  



    ในอนาคตการบูชาดวงอาทิตย์จะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง คือในยุคที่พระเจ้าเทียมเท็จ (ดัจญาล/แอนตีไครส์)ออกมาสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่(Great Deception) ด้วยการมาของลัทธิลูซิเฟอเรียนซึ่งจะเป็นศาสนาของโลกใหม่ในยุค New World Order นั่นเอง


       "ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ในทั่วทุกหนแห่งประชากรในโลกจะได้รับแสงสว่าง

ที่แท้จริงที่มาจากหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของลัทธิลูซิเฟอเรียนที่ปรากฎขึ้นอันเกิดจากการเคลื่อนไหวของพวกขวาจัดที่คอยผลักดัน จากนั้นภายใต้สิ่งนี้ศาสนาคริสต์ในทุกคณะนิกาย และผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าก็จะถึงซึ่งกับความพินาศ อันดูเสมือนว่าจะเป็นการได้รับชัยชนะ แต่กลับกลายเป็นการถอนรากถอนโคนและทำลายจนสูญสิ้นในเวลาเดียวกัน"
       จดหมายของอัลเบิร์ต ไพค์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1874 จากหนังสือ Pawns in the Game, p. xv-xvi โดย William Guy Carr

 

       “จะไม่มีใครเข้าสู่ New World Order นอกจากเขาจะปฏิญาณตนเพื่อบูชาลูซิเฟอร์

จะไม่มีใครเข้าสู่โลกยุคใหม่ นอกจากเขาจะเริ่มต้นจากลัทธิลูซิเฟอเรียน 

       David Spangler แห่งองค์การสหประชาติ New Age Movement leader, co-founder of Findhorn Foundation and Lindisfarne Association (with friend William Irwin Thompson) from his book, “Reflections on the Christ” 1977


วิทยาศาสตร์รับใช้ลูซิเฟอเรียนอย่างไร


 จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นมีข้อคิดหลายประเด็นจากวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่ขัดแย้งกับนัยตามคัมภีร์หรือข้อเท็จจริงที่เราสังเกตได้ แต่กลับสอดรับกับแนวทางของลูซิเฟอเรียนอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ

       1. เราถูกบังเกิดมาด้วยความตั้งใจ...ไม่ใช่โดยความบังเอิญ
       มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างงดงามด้วยพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นตัวแทนบนหน้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่แม้แต่ลูซิเฟอร์ยังมุ่งหวังที่จะได้รับ

       “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา” (genesis 1:26)   

       “โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปลักษณ์ที่สวยงามยิ่ง”   (อัตตีน 95 : 4)

       “เมื่อพระเจ้าผู้ทรงอำนาจทรงประสงค์ที่จะสร้างสิ่งทรงสร้างหนึ่ง(นบีอาดัม อ.)ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง...” (อัล-กุมมี 1983, หน้า 359 และ อัล-ศอดูก 1966, เล่ม 1, หน้า 104)

       "แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนในแผ่นดิน...”  (ยูนุส 10 : 14)

       แต่วิทยาศาสตร์กำลังชวนเชื่อว่ามนุษย์บังเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญจากวิวัฒนาการ และโลกนี้ก็เป็นเพียงฝุ่นธุลีไร้ค่าในจักรวาลอันยิ่งใหญ่จากบิกแบง การเกิดขึ้นมาของมนุษย์นั้นไม่มีความสำคัญอะไรที่เราต้องค้นหาความหมาย แนวความคิดนี้ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับวจนะของพระเจ้า แต่กลับไปสอดคล้องกับการล่อลวงของลูซิเฟอร์ที่ต้องการทำให้มนุษย์รู้สึกต้อยต่ำกว่ามัน และทำให้มนุษย์หลงลืมหน้าที่ของตน และหลงลืมพระผู้สร้างของเขาเอง


 2. การบูชาดวงอาทิตย์ กับองค์กรวิทยาศาสตร์


       “พวกสมาคมลับฟรีเมสันมีความเชื่อว่าสัญลักษณ์วงกลมใช้แทนพระอาทิตย์และพวกเขาใช้สัญลักษณ์นี้สื่อถึงการนมัสการพระอาทิตย์อันเป็นสุริยเทพ เทพเจ้าโอซิริส  
       The Masonic Quiz Book หน้า 163


       ซึ่งองค์การ NASA นั้นมีนักบินอวกาศและสมาชิกมากมายที่เป็นเมสัน


   และแทนที่ NASA จะยกย่องศาสนทูตหรือเทวทูตของพระเจ้า แต่โครงการต่างๆของ NASA กลับให้เกียรติแก่เหล่าเทพเจ้าของ Pagan เช่น โครงการ OSIRIS-REx ซึ่งย่อมาจาก Origins, Spectral Interpretation, Resource Identification, Security and Regolith  Explorer ซึ่ง OSIRIS คือชื่อสุริยเทพของอียิปต์ เป็นบุตรของเทพรา(สุริยเทพสูงสุด) ส่วน Rex ในภาษาลาตินมีความหมายว่า King ซึ่งตามความเชื่อของอียิปต์แล้ว OSIRIS ก็คือ King of King (กษัตริย์แห่งกษัตริย์) 



โครงการเยือนดวงจันทร์ก็ตั้งชื่อตามเทพของกรีก เช่น Mercury Gemini และ Apollo ก็เป็นอีกชื่อของสุริยเทพ    



    โลโก้อื่นๆของโครงการ Apollo ยังมีกลุ่มดาวนายพราน (Orion's Belt) ซึ่งถูกใช้วางตำแหน่งปีรามิดในจีน เมกซิโกและอียิปต์ที่สร้างเพื่อบูชาดวงอาทิตย์    



     เช่นนี้แล้ว NASA กำลังเทิดทูนพระเจ้าแบบไหนอยู่ ?

 

       3. ดวงอาทิตย์คือดวงไฟ
       ดวงอาทิตย์มีเปลวไฟที่ลุกโชน ความเชื่อนี้มีปรากฏในสัญลักษณ์โบราณทั่วโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และองค์กรวิทยาศาสตร์อย่างเช่น NASA ก็นำเสนอเช่นเดียวกันว่า ดวงอาทิตย์นั้นมีเปลวไฟ  แต่มันกลับขัดแย้งกับสิ่งที่เราสังเกตได้จริง เพราะดวงอาทิตย์ที่เราเห็นไม่ได้มีเปลวไฟแต่อย่างใด

       การที่วิทยาศาสตร์สร้างความเชื่อว่าดวงอาทิตย์คือดวงไฟ มันจึงสอดรับกับลัทธิลูซิเฟอเรียนอย่างชัดเจน เพราะการบูชาลูซิเฟอร์ คือการบูชาดวงไฟและดวงอาทิตย์




   4. 666 กับ ระบบศูนย์อาทิตย์
       ผู้เผยพระวจนะเท็จ / Antichrist / ดัจญาลนั้นจะออกมาจากเครื่องหมายสัตว์ร้าย ซึ่งเราพบว่า 666 ได้แทรกซึมอยู่ในระบบศูนย์อาทิตย์อย่างข้อ

       - นิวตันทำแอปเปิลตกในปี ค.ศ. 1,666
       - ค่าคงที่ของแรงโน้มถ่วง G = 6.666 x 10-11Newton m2/kg2
       - โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 18.5 ไมล์/วินาที 66,600 ไมล์/ชม.
       - โลกเอียง 23.4 องศาจากแกนตั้ง = 66.6 องศาจากแกนนอน
       - โลกหมุนรอบตัวเอง 1,666 กม./ชม.
       - โลกกลมมีผิวโค้ง 8 นิ้ว/ไมล์ = 0.666 ฟุต/ตร.ไมล์

       แล้วพระเจ้าที่ออกมาจากระบบศูนย์อาทิตย์จะหมายถึงพระเจ้าแบบไหน ถ้าไม่ใช่สุริยเทพ/แอนตี้ไครส์/ดัจญาล ?



  5. การปฏิเสธคำสั่งใช้ของพระเจ้าและยกตนขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเอง  การล่อลวงนี้ยังคงมีอยู่ไม่เว้นแม้แต่ด้วย "วิทยาศาสตร์"  เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์ให้เชื่อว่าตนสามารถเป็นอมตะและมีอำนาจได้ดั่งพระเจ้า Michio Kaku นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชื่อดังชาวญี่ปุ่น-อเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า ภายในปี 2100 ชะตาจะทําให้เรากลายเป็นดั่งพระเจ้าที่เราเคยบูชาและเกรงกลัว แต่เครื่องมือของเราไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์หรือนํ้าอมฤต แต่เป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นาโนเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และที่สําคัญคือทฤษฎีควอนตัม



ทางรอดจากการล่อลวงของลูซิเฟอร์


       ลูซิเฟอร์ได้กล่าวว่า โอ้ผู้ทรงมหากรุณาธิคุณคอยดูเถิด ฉันจะหลอกลวงลูกหลานทั้งหมดของอาดัม ยกเว้นบ่าวของพระองค์บางคนซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์   ซึ่งพระเจ้าได้ตอบมันไปว่า “เจ้า(ลูซิเฟอร์)จะไม่มีอำนาจเหนือบ่าวของฉันบางคนที่ฉันจะคุ้มครองเขา 
       ดังนั้นหากเราต้องการเป็นหนึ่งในผู้นั้นที่ได้รับการคุ้มครองจากพระองค์ เราจะต้องแสวงหาพระองค์ “ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ต่อพระองค์” เพราะนั่นคือเงื่อนไขที่จะทำให้เรารอดพ้นจากการล่อลวงของลูซิเฟอร์ โดยความช่วยเหลือและชี้นำทางของพระองค์นั่นเอง


---------------------------------------------