วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

21) ต้นกำเนิดแผนที่แบบ Azimuthal Equidistant (AE) ของ Giovanni Domenico Cassini

เนื้อหาในหนังสือ 1984 ที่ George Orwell เขียนไว้มีหลายอย่างที่สะท้อนความจริงในแง่ของการปกครองผู้คนในสังคม และมีประโยคหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า "คุณคิดหรือว่าการสร้างระบบดาราศาสตร์แบบทวิภาคนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของเรา ดวงดาวจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็ได้ตามแต่เราจะต้องการ คุณคิดว่านักคณิตศาสตร์ของเราทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกันหรือ?" ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะปัจจุบันนี้เรากำลังพูดถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวบนท้องฟ้าเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าเราอธิบายกันคนละแบบและไม่เหมือนกันเลย ทำให้แต่ละคนได้บทสรุปแตกต่างกันไป (ใครยังไม่ได้อ่านโปรดกดลิงค์ไปอ่านก่อนเลย http://flatearthmatters.blogspot.com/2018/05/18-2-2-5.html

ระบบดาราศาสตร์ในปัจจุบันมี 2 โมเดลคือแบบ Geocentric คือโลกเป็นศูนย์กลาง โลกไม่เคลื่อนที่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรในแนวเดียวกันและหมุนวนขนานกับพื้นโลก ส่วนดวงดาวอื่น ๆ เคลื่อนที่ไปพร้อมกันตามทรงกลมฟ้า (Celestial sphere) ที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง (arc) ) และแบบ Heliocentric คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง (อ่านเพิ่มเติม - ที่มาที่ไปของระบบสุริยะ Heliocentric Model http://flatearthmatters.blogspot.com/2018/04/15-heliocentric.html)

องค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์แต่เดิมใช้ข้อมูลจากหนังสือของ Ptolemy ที่อธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาวด้วยระบบ Geocentric มีทั้งหมด 13 เล่ม พร้อมทั้งบอกวิธีการคำนวณเพื่อการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ตกทอดกันมาโดยใช้ข้อมูลทางดาราศาสตร์ในยุคบาบิโลเนียน อียิปต์ และกรีก (อ่านเพิ่มเติม - ประวัติของความรู้ด้านดาราศาสตร์และแผนที่โลกแบน http://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/20.html) เนื้อหาในหนังสือของ Ptolemy บอกข้อมูลไว้ละเอียดมากและได้รับการยึดถือเป็นตำราสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องดวงดาวมาเป็นพันปี



จากหนังสือ Great Books of the Western World เล่มที่ 15 โดย Mortimer J. Adler

การศึกษาด้านดาราศาสตร์เป็นที่นิยมกันในหมู่ชาวยิว และถึงแม้ว่า Corpernicus จะนำเสนอระบบการเคลื่อนที่ของดวงดาวในจักรวาลแบบใหม่ตามที่เขาได้ตีพิมพ์เอกสารออกมาในปี 1543 แต่ชาวยิวก็ยังใช้ตำราของ Ptolemy ศึกษาเรื่องดวงดาวมาเรื่อยอีกกว่า 200 ปี 

จากหนังสือ The Wiley-Blackwell History of Jews and Judaism โดย Alan T. Levenson

คณะเยซูอิต (Jesuit) เป็นกลุ่มนักบวชคาทอลิกที่มีบทบาทสำคัญมากในการศึกษาเรื่องดาราศาสตร์ พวกเขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเก็บข้อมูลด้านดาราศาสตร์ช่วงปี 1601 - 1805 (กว่า 200 ปี) ที่พวกเขาเข้าไปเผยแพร่ความรู้ด้านดาราศาสตร์ให้กับชาวจีนและสร้างหอดูดาวไว้ที่นั่น พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยังจดบันทึกข้อมูลทางดาราศาสตร์และส่งกลับไปรายงานให้กับต้นสังกัด 

หอดูดาวและอุปกรณ์ที่กรุงปักกิ่ง

หนังสือ "จดหมายเหตุดาราศาสตร์จากฝรั่งเศสเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช" เล่มนี้ได้แปลเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการเข้ามาทำงานด้านดาราศาสตร์ของนักบวชคณะเยซูอิตในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อมูลต่าง ๆ ทั้งด้านดาราศาสตร์และตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในประเทศไทยได้ถูกบรรยายไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ปกในของเอกสารเล่มนี้มีแผนที่โลกพร้อมกับคำบรรยายว่า "แผนที่โลกขนาดใหญ่ที่แคสสินีสร้างอยู่บนพื้นชั้น 3 ของหอดูดาวแปดเหลี่ยมทางด้านตะวันตกของกรุงปารีส ที่ซึ่งโกษาปานราชทูตสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเคยไปเยือนมาแล้ว"


ในเอกสารได้บรรยายไว้ว่าในปี 1671 มีการสร้างหอดูดาวขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ว่าจ้างให้จีโอวานนี โดเมนิโก แคสสินี (Giovanni Domenico Cassini) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงและเก่งมากมาทำงานให้ ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีความพยายามจะทำแผนที่โลก แคสสินีจึงได้เลือกที่จะใช้ที่ว่างชั้นสามของหอแปดเหลี่ยมด้านตะวันตกสรัางแผนที่โลกขึ้นมา แผนที่โลกนี้มีขนาดใหญ่มากมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 ฟุต (7.80 เมตร) มีหมุดปักอยู่ตรงกลางให้เป็นขั้วโลกเหนือและแผนที่นี้สามารถใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพื่อหาเส้น longitude ได้อย่างดี เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลของตำแหน่งดวงดาวเพื่อเทียบเคียงกับภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ในโลกมาแล้วอย่างละเอียดกว่า 30 ปี การเก็บข้อมูลมาทั้งจากการเดินเรือ และจากหอดูดาวที่ส่งมาจากทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นแผนที่ที่ใช้ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมาเป็นชิ้นแรกโดย Académie Royale des Sciences (ราชบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์) แห่งประเทศฝรั่งเศส แผนที่นี้ใช้เวลาทำนานมากถึง 3 ชั่วอายุคน ตั้งแต่ตัว Cassini จนมาถึงลูกชาย และเสร็จสิ้นในรุ่นของหลานชาย (ภาพขยายใหญ่สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ https://www.loc.gov/resource/g3200.ct007051/)

ข้อมูลจากเว็บไซต์หอดูดาวแห่งปารีส http://expositions.obspm.fr/cassini/pages/observatoire5.php

ข้อมูลจากเว็บไซต์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
http://www.columbia.edu/cu/lweb/eresources/exhibitions/treasures/html/165.html

แผนที่นี้ได้แสดงให้เห็นสถานที่ทั้งหมด 43 แห่ง จากเมืองควิเบกถึงซานติเอโก แหลมกู๊ดโฮป และจากเมืองเกาถึงปักกิ่ง ด้วยวิธีการวัดจากดวงดาว และมีการวัดเส้นละติจูดได้อย่างถูกต้องเนื่องจากใช้วิธีการวัดระยะจากดวงจันทร์ของดาวจูปิเตอร์ บทสรุปจากแผนที่นี้คือ Cassini ได้ใช้ความรู้ดาราศาสตร์ตามโมเดล Geocentric เพื่อสร้างแผนที่โลกชิ้นนี้ขึ้นมาเป็นชิ้นแรกที่ถือได้ว่าถูกต้องมากที่สุดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แผนที่รูปแบบนี้เรียกว่า Azimuthal Equidistant (AE) ซึ่งจะถูกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น
   
ในห้องของประธานาธิบดี John F. Kennedy

บนเครื่องบิน Air Force One มีประธานาธิบดี John F. Kennedy นั่งคุยงานอยู่

อีกภาพชัด ๆ 



ในห้องส่งวันที่ Admiral Richard E. Byrd ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการสำรวจพื้นที่ Antarcticaในปี 1955

ในหนังสือแผนที่ก็มี

แผนที่ทางอากาศปี 1903

อันนี้คงเห็นกันบ่อยละ New Standard Map of the World ของ Alexander Gleason ปี 1893




ในห้อง Space Command Center ของ NASA สมัยแรก


จากงานแผนที่โลกของ Cassini มีส่วนในการวัดเส้นลองจิจูดเพื่อเอามาทำลูกโลก แต่ก็แปลกที่ลูกโลกในสหรัฐอเมริกาจะมีสติ๊กเกอร์ข้อความติดไว้บอกว่า "Globes are not meant for educational purpose but only decorative purpose" (แปลว่า - ลูกโลกไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา แต่ให้ใช้เพื่อการประดับตกแต่งเท่านั้น) ข้อสังเกต คำว่า Globes บนสติ๊กเกอร์ที่ลูกโลก เติม s หมายถึงลูกโลกที่เป็นสามัญนาม คือลูกโลกทั่วไป ไม่ใช่การเจาะจง โรงงานต้องติดไว้เพื่อป้องกันการฟ้องร้อง แล้วโรงงานแต่ละแห่งจะรับผิดชอบลูกโลกจากแหล่งผลิตอื่นทำไม เค้าต้องติดเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อลูกโลกที่เค้าผลิตเท่านั้นไม่เกี่ยวกับลูกอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรต้องเขียนว่า "This globe...." มากกว่าสติ๊กเกอร์นี้น่าจะเหมือนข้อความเตือนบนซองบุหรี่หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่เคยมีใครคิดจะสนใจความหมายของมันอยู่แล้ว ถ้าคนอยากจะสูบ จริงไหม??

ในต่างประเทศคนที่กำลังสนใจเรื่องโลกแบนมักจะหาวิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ใครทำอะไรได้ก็ทำตามแต่ความสามารถของแต่ละคน ทีนี้คนก็ออกมาพิสูจน์กัน ทั้งถ่ายคลิปวิดีโอ ถ่ายรูปกันใหญ่ 








อันนี้คือหยิบจากโต๊ะทำงานมาดูเลย
The sticker under every Globe



คนนี้ก็ขับรถพาไปเดินดูในห้างกันเลยทีเดียว
Flat Earth: GLOBES ARE NOT MEANT FOR EDUCATIONAL PURPOSES!!!


แต่ไปสำรวจในเมืองไทยแล้ว ไม่มีติดไว้นะ


----------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

20) ความรู้ด้านดาราศาสตร์และแผนที่โลกแบนในยุคเริ่มต้น

ยุคเริ่มต้นดาราศาสตร์

ตามประวัติศาสตร์แล้วยุคเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องดวงดาวบนท้องฟ้าเกิดจากจุดเดียวกัน โดยมีหลักฐานมาตั้งแต่ยุคสุเมเรียน (ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล) มีที่ตั้งถิ่นฐานที่เมืองบาบิโลนอยู่ปากแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรทีส อย่างที่ทราบกันดีชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมสูง มีระบบการปกครองแบบนครรัฐ มีการทำชลประทาน มีความสามารถทางการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มีการคิดค้นการใช้ตัวเลข ชาวสุเมเรียนนิยมใช้เลขฐาน 60 ซึ่งเป็นหลักการของการนับเวลามาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเป็นพื้นฐานของการแบ่งวงกลมให้เป็น 360 องศา (ก็คือ 6 x 60) (1)

ชาวสุเมเรียนยังประติษฐ์ตัวอักษรที่เรียกว่าคูนิฟอร์ม (cuneiform) โดยใช้ปลายไม้กดให้เป็นรอยในแผ่นดินเหนียว พวกเขามีระบบการชั่ง ตวง วัด และพบว่าพวกเขาได้สร้างสรรค์วรรณกรรมขึ้นมาเป็นเรื่องแรกของโลกคือเรื่องมหากาพย์กิลกาเมซ (Gilgamesh epic) ที่เขียนบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ 12 แผ่น ทั้งหมดเป็นจำนวน 3,000 บรรทัด (1)


Writing Cuneiform

ชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ปฏิทินขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกจากการสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ จึงเรียกว่าปฏิทินจันทรคติ (lunar calendar) ในหนึ่งปีมี 12 เดือน และในหนึ่งเดือนมี 29 1/2 วัน  ดังนั้นในหนึ่งปีจึงมีทั้งหมด 354 วัน ต่างกับปฏิทินแบบสุริยคติที่มี 365 1/4 วัน ในหนึ่งเดือนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 - 8 วัน ในหนึ่งวันแบ่งออกเป็น 12 ชม. (1 ชม. เท่ากับ 2 ชม.ในยุคปัจจุบัน) และแบ่งเป็นกลางคืน 6 ชม. และกลางวัน 6 ชม. (1) การคิดค้นปฏิทินและเวลานี้เป็นเรื่องสำคัญมากต่อการทำเกษตรกรรม เพราะต้องพึ่งพาธรรมชาติจึงจำเป็นต้องเข้าใจระบบฤดูกาล และปฏิทินจันทรคติถือเป็นปฏิทินที่เก่าแก่ที่สุด (2)



องค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์ในปัจจุบันมีรากฐานมาจากบันทึกการสังเกตดวงดาวของชาวบาบิโลเนียน เนื่องจากมีการค้นพบแผ่นตัวอักษรคูนิฟอร์มที่มีบันทึกเกี่ยวกับดวงดาวมาตั้งแต่ยุคก่อนบาบิโลน (เรียกว่ายุค Neo-Assyrian) และในช่วง 750 - 600 ปีก่อนคริตศักราชจนถึงปีค.ศ. 75 มีการค้นพบแผ่นบันทึกเหล่านี้มากกว่า 4,000 ชิ้นจากเมืองบาบิโลน และอีกหลายร้อยชิ้นจากเมืองอื่น ๆ (3) 







แผ่นบันทึกเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 136 ปีก่อนคริสตกาล



แผนที่โลกแบน

นอกจากนั้นยังมีนักโบราณคดีชาวอิรักชื่อว่า Hormuzd Rassam ค้นพบแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนที่ระบุได้ว่าเป็นแผนที่โลกที่มีลักษณะแบน ซึ่งน่าจะถูกทำขึ้นมาในช่วงปลายอารยธรรมบาบิโลเนียน (ประมาณ 600-500 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีแผ่นดินบาบิโลนอยู่ตรงกลางแล้วมีมหาสมุทรล้อมรอบเป็นวงกลม นอกจากนั้นยังมีส่วนที่เป็นดาว 7 แฉกระบุว่าเป็นเกาะแต่ก็ไม่มีใครรู้จัก (4)


The Map of the World ของอารยธรรมบาบิโลเนียถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ The British Museum 


นอกจากนั้นในอารยธรรมอื่น ๆ ก็มีการค้นพบแผนที่ของโลกที่มีลักษณะแบนจากหลายแหล่ง เช่น 



และก็น่าแปลกใจที่อารยธรรมในหลาย ๆ ยุคบรรยายรูปร่างสัณฐานของโลกออกมาคล้าย ๆ กัน



และข้อมูลเหล่านี้ก็ตกทอดมาเป็นความเชื่อของคนในแต่ละยุคสมัยผ่านศาสนาของแต่ละชาติ แต่มีอยู่อารยธรรมเดียวที่ต่างกับคนอื่น คืออารยธรรม NASA ในยุคปัจจุบันนี่แหละ ยกตัวอย่างคำอธิบายของลักษณะของโลกตามข้อมูลในคัมภีร์ไบเบิล หลัก ๆ คือโลกมีลักษณะแบนเหมือนแผ่นดิสก์ (disc) ไม่ขยับ ไม่เคลื่อนที่ แต่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ มีโดมครอบอยู่ (หรือเรียกว่า firmament) ดวงจันทร์มีแสงในตัวเอง ฯลฯ (ฉบับ King James ระบุว่ามีการกล่าวถึงลักษณะของโลกไว้ประมาณ 240 แห่ง)


ส่วนของประเทศไทยเราตามความเขื่อดั้งเดิมคือมาจากวรรณกรรมไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาที่ 1 กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ที่พระองค์พระราชนิพนธ์ไว้เมื่อปีพ.ศ. 1864 เป็นการรวบรวมเนื้อหามาจากคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพุทธ โดยแบ่งโลกออกเป็น 3 ส่วน คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ (5) ในเอกสารกาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลกของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ได้บรรยายไว้ว่า พระมหาธรรมราชาลิไท (ลือไท) นั้น

"เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงผนวชและทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง (เรียกเป็นคำบาลี ว่า “เตภูมิกถา”, บรรยายการเว้นชั่ว ทำดี ให้เจริญสูงขึ้น ไปในไตรภูมิ จนในที่สุดพ้นจากการว่ายเวียนเปลี่ยนแปลง ในไตรภูมินั้น" (2)

แม้ว่าในเรื่องไตรภูมิพระร่วงจะมีการบรรยายเกี่ยวกับลักษณะของโลกไว้ไม่มากเท่ากับในคัมภีร์ไบเบิลแต่ข้อมูลหลักก็คล้ายกันคือ โลกเป็นแผ่นดินลอยอยู่ในน้ำ มีน้ำล้อมรอบและมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยอยู่ในอากาศ ด้านบนมีเขาจักรวาลครอบไว้อีกที และประเด็นสำคัญคือข้อมูลในไตรภูมิพระร่วงสอนวิธีให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโลกแห่งนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่พุทธศาสนิกชนยึดถือปฏิบัติกันมาตลอด


อ้างอิง
1) http://civilizationwe.blogspot.com/2012/07/blog-post.html
2) กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

4) http://www.myoldmaps.com/maps-from-antiquity-6200-bc/title-babylonian-world-map/103babylonian-world-map.pdf