วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

14) คำเตือน!! สำหรับคนที่สนใจศึกษาเรื่องโลกแบนให้ระวัง "หน้าม้า" และ "ฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง"

14) คำเตือน!! สำหรับคนที่สนใจศึกษาเรื่องโลกแบนให้ระวัง "หน้าม้า" และ "ฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง"







สำหรับคนที่ติดตามข้อมูลเรื่องโลกแบนน่าจะเคยเห็นโมเดลปิรามิดแบบนี้มาบ้าง มันเป็นโมเดลการควบคุมเพื่อให้คนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาแบบบนลงล่าง (Top-down control) คนกลุ่มเล็กควบคุมคนกลุ่มใหญ่ อำนาจสูงสุดจะอยู่ในมือคนกลุ่มเล็กนิดเดียว และใช้อำนาจผ่านเครือข่ายแยกย่อยลงมาตามลำดับขั้น จะเห็นว่าประชาชนทั่วไปอยู่ที่ใต้ฐานล่างสุดมีจำนวนมากที่สุดแต่มีหน้าที่เป็นแค่ทาสที่คอยหาเงินมาใช้หนี้ให้กับองค์กร/บริษัทในขั้นที่สูงขึ้นไป ลำดับที่สองถัดมาคือตัวควบคุมประชาชนกดให้อยู่ที่ฐานล่างผ่าน 3 องค์กรคือรัฐบาล สื่อสารมวลชน และระบบการศึกษา (Government / Media / Education) 3 องค์กรนี้จะทำงานสอดคล้องกันเพื่อความมีประสิทธิภาพในการปกครอง ทำให้ประชาชนมีความขัดแย้งกับรัฐให้น้อยที่สุด มีความรู้น้อย ๆ ไม่ต้องฉลาดมากจะได้ไม่มีอำนาจในการต่อรอง และฝึกให้มีความคิดมีพฤติกรรมอยู่ในกรอบตามที่ต้องการ แม้ว่าโมเดลนี้จะเป็นรูปแบบการปกครองของต่างประเทศแต่การปกครองของประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน หลายอย่างเราก็ถอดแบบมาจากเขาโดยตรง โดยเฉพาะจากประเทศอเมริกา

"เราจะรู้ว่าภารกิจการบิดเบือนข้อมูลของเราเสร็จสมบูรณ์
ก็ตอนที่ทุกเรื่องที่คนอเมริกันเชื่อเป็นเรื่องที่ผิดทั้งหมด"
- วิลเลียม เคซีย์, ผอ.ซีไอเอ กล่าวไว้ในการประชุมเจ้าหน้าที่ปี 1981

แน่นอนว่าข้อมูลที่ส่งผ่าน 3 องค์กรนี้ต้องมาเหมือนกันเพื่อโปรแกรมความเชื่อหรือสิ่งที่ต้องการให้ประชาชนเชื่อและทำตาม การรับรู้ข้อมูลทุกเรื่องประชาชนจะรับรู้ผ่านข้อมูลที่ถูกกรองมาแล้วจาก 3 องค์กรนี้ หลังจากที่เขียนบทความเกี่ยวกับโลกแบนมาเป็นเรื่องที่ 14 ละ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนถูกกีดกัน ถูกบิดเบือน และถูกปิดบังข้อมูล เราไม่ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกทั้งหมด เรารู้เฉพาะที่เค้าอยากให้รู้ และเราถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่โมเดล Heliocentric และโลกกลม ผสมกับข่าวการค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล บวกกับจินตนาการที่ถูกรังสรรค์ออกมาผ่านหนัง ผ่านสื่อต่าง ๆ อีกล่ะ

หนังสือ Lab Coats in Hollywood เขียนโดย Dr. David A. Kirby เป็นอาจารย์สอนด้านการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์อยู่ที่ University of Manchester เชื่อว่า Stanley Kubrick (ผู้กำกับภาพยนตร์) เป็นคนถ่ายทำเหตุการณ์นักบินอวกาศไปเยือนดวงจันทร์เมื่อปี 1969 ในสตูดิโอเดียวกันกับที่เค้าถ่ายหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey ที่ออกฉายเมื่อปี 1968




สำหรับบทความนี้จะชี้ให้เห็นเรื่องการควบคุมสื่อ ซึ่งโดยพื้นฐานประชาชนจะเชื่อว่าสื่อควรต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลหรือองค์กรต่าง ๆ (ควรต้องอยู่คนละฝั่งเพื่อคานข้อมูลกัน) แต่ความจริงมีสื่ออยู่น้อยมากที่จะทำแบบนั้นได้ ส่วนใหญ่ก็รับข้อมูลแบบถูกควบคุมมาอีกที หรือมีระบบการเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งกับรัฐหรือนายทุน ตัวอย่างข่าวที่เขียนเป็นสคริปต์มานักข่าวก็อ่านไปเหมือน ๆ กัน




ที่จริงแล้วสื่อก็เป็นอีกองค์กรนึงที่สำคัญมากในการให้ความรู้กับประชาชน แต่สื่อสมัยใหม่เน้นไปที่การให้ความบันเทิงเพื่อขายโฆษณามากกว่า ไม่ค่อยให้มุมมองหรือให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้คิด แล้วถ้า 3 องค์กรนี้ร่วมมือกันคนที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือผู้ที่บัญชาการมาจากด้านบน ส่วนคนที่เสียหายเสียผลประโยชน์ก็คือประชาชนเพราะถูกริดรอนข้อเท็จจริง หรือจะพูดอีกอย่างนึงคือประชาชนกำลังถูกคอรัปชั่นทางสติปัญญาอย่างไม่รู้ตัว

บทความนี้จะเขียนถึงสื่อทางเลือกโดยเฉพาะกลุ่มสื่อที่เป็น social media เนื่องจากเรามักจะเชื่อกันว่าเป็นกลุ่มสื่อที่ควบคุมไม่ได้หรือควบคุมยาก และลักษณะการให้ข้อมูลก็มีความหลากหลายซึ่งต้องใช้วิจารณญาณเพื่อพิจารณา Eric Dubay จึงเขียนเล่าประสบการณ์ที่เค้าเจอเกี่ยวกับหน้าม้าและฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง ทั้งแบบที่ออกมาให้ข้อมูลและออกมาแย้งเรื่องโลกแบน Eric Dubay เป็นชาวอเมริกันที่เขียนหนังสือ Flat Earth Conspiracy ออกวางขายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2014 นอกจากหนังสือเขามี forum http://ifers.123.st/ (The International Flat Earth Research Society - IFERS) มี channel ใน youtube และยังออกมาพูดคุยเรื่องโลกแบนใน podcast และรายการวิทยุอีกหลายที่ และเนื่องจากเรื่องนี้เปิดโปงเบื้องหลังองค์กรรัฐอย่างเช่น NASA U.N. และองค์กรลับฟรีเมสัน ดังนั้นเค้าจึงถูกจับตามองและถูกสกัดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลทั้งถูกปิด channel ใน youtube หรือแม้กระทั่งถูกขู่ฆ่าก็โดนมาแล้วหลายครั้ง


"วิธีที่จะควบคุมฝ่ายตรงกันข้ามได้ก็คือการเข้าไปเป็นคนนำด้วยตัวเอง"
- วลาดีมีร์ อิลลิช เลนิน

Eric เขียนข้อมูลนี้ไว้ใน forum ตั้งแต่ 2016 และอัพเดทข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าแหล่งข้อมูลไหนเป็นอย่างไร เพราะตอนเขียนหนังสือเขาใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอยู่นานและต้องเชื่อมโยงข้อมูลหลายเรื่องโดยเฉพาะทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) และเขาเจอกลุ่มคนที่เป็นทั้ง shill (หน้าม้า) และพวก controlled opposition agents (ฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง) มีหลากหลายรูปแบบ (รวมทั้งพวกที่เข้ามาเพื่อเกาะกระแสและพยายามสร้างชื่อเสียงเพื่อธุรกิจก็มี)



Eric Dubay อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2005 เค้าพูดภาษาไทยได้ ลองฟังเค้าอธิบายเรื่องธุรกิจค้าอาวุธที่เป็นเบื้องหลังการทำสงคราม เพราะฉะนั้นเวลาอ่านข้อมูลก็ต้องวิเคราะห์เองอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด พยายามมองหลาย ๆ มุมและคิดเยอะ ๆ หน่อย Eric เขียนถึง shill (หน้าม้า) ในวงการโลกแบนไว้หลายคน ขอยกมาเป็นตัวอย่างบางคนละกัน




Mark Sargent - เป็นนักออกแบบวิดีโอเกมและเป็นหนึ่งในเครือข่ายจัดงาน Flat Earth International Conference 2017 (เก็บเงินค่าเข้างานแพงด้วย) ซึ่ง Eric เล่าไว้ว่าหลังจากเขาออกหนังสือไปได้ 6 สัปดาห์ ช่วงนั้นเริ่มมีกระแสการพูดถึงทฤษฎีโลกแบนในโลก social แล้ว และ Mark Sargent เริ่มทำคลิป Flat Earth Clues ออกมาเป็น series โพสใน youtube แบบที่มี production ดีมาก และเริ่มออกให้สัมภาษณ์ตามรายการวิทยุหลายที่ ข้อพิสูจน์ของ Mark ในทฤษฎีโลกแบนไม่มีอะไรมากไปกว่าความเห็นของตัวเอง ซึ่งต่างจากสิ่งที่ Eric และชาวโลกแบนคนอื่น ๆ พยายามทำคือใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือด้วยการทดลองที่พิสูจน์ได้ แล้วจู่ ๆ Mark ก็เริ่มให้ข้อมูลว่า "ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ไม่มีจริง มันเป็นเพียงภาพ holographic" Eric เคยบอกให้ Mark แสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เค้าพูดใน forum นี้ ซึ่ง Mark ก็เป็นสมาชิกอยู่แต่ก็ไม่มีคำอธิบายใด ๆ นอกจากนั้น Mark ก็ยังพูดโกหกหลายครั้ง อย่างเช่น Mark เคยให้สัมภาษณ์ไว้เองว่าเคยอ่านหนังสือที่ Eric เขียน แต่มาตอนหลังก็บอกว่าไม่เคยอ่าน เค้าเคยอ้างว่า Eric พูดแบบนั้นแบบนี้ทั้งที่ Eric ไม่เคยพูด



Lord Steven Christ - คนนี้เด็ดมาก ออกมาให้ข้อมูลเรื่อง concave earth (โลกเว้า) แล้วบอกว่าตัวเองเป็นร่างอวตารของพระเยซู ข้อพิสูจน์ของ Steven ไม่ค่อยมีหลักฐานแต่มีภาพกราฟฟิก 3D โลกเว้าที่ design ดีมาก ข้อมูลใน channel ของ Steven มีเยอะ แต่ก็มีบางส่วนที่ทำมาเพื่อหักล้างหรือปรักปรำสิ่งที่ Eric พูด แต่ Steven ก็ยังมาซื้อโฆษณาป้าย banner เพื่อโปรโมท concave earth ของตัวเองใน forum นี้ด้วย



Leo Ferrari, Daniel Shenton, and The Flat Earth Society - เป็นกลุ่มที่จัดตั้งมานานแล้วเพื่อ discredit ชาวโลกแบนก่อตั้งโดย Leo Ferrari ตั้งแต่ปี 1970 และ Leo น่าจะเป็น Freemason เค้าเป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่ St. Thomas University เขามักจะไปบรรยายหรือไปให้สัมภาษณ์พร้อมกับเอาก้อนหินขนาดเท่าฟักทองไปด้วยแล้วบอกว่าหินก้อนนี้ช่วยเขาไว้ตอนที่แล่นเรือไปแล้วจะตกขอบโลกก็เลยเก็บก้อนหินนี้กลับมาด้วย





ต่อมาเมื่อ Leo เสียชีวิตในปี 2010 ก็มี Daniel Shenton กับทีมงานเข้ามาทำเว็บต่อและมักจะให้ข้อมูลผิด ๆ หรือทำให้เรื่องโลกแบนเป็นเรื่องตลกไป เวลา search หาข้อมูลใน google เว็บไซต์ของ Flat Earth Society (FES) จะเป็นเว็บแรก ๆ ที่ขึ้นมา ตอนที่ Eric ทำ forum นี้ทางทีมงานของ Flat Earth Society ก็ขอเข้ามาร่วมด้วย พวกเขาให้ความชื่นชมกับงานที่ Eric ทำและยกให้ Eric เป็น Flat Earth President ในที่สุดพวกเขาพยายามขอรวม forum ของทั้ง FES และ IFERS เข้าด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รวม



Matt (Powerland) Boylan - บอกว่าตัวเองเคยทำงานเป็นศิลปินวาดภาพลูกโลกให้ NASA และเป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาพูดเรื่องโลกแบน (ใน youtube จะมีคลิปที่เค้าพูดไว้ตั้งแต่ปี 2012) Eric เคย skype คุยกับ Matt อยู่หลายครั้งแต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝั่ง Matt พูดซะ 95% บางทีก็โดนขัดจังหวะ หรือไม่ก็อัดเสียงแบบที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน Matt บอกว่าตัวเองเรียนจบมาจาก Jesuit School บางคลิปก็มีสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ Masonic 33 ตัวใหญ่ ๆ และเขามักจะให้ข้อมูลว่าเรื่องโลกกลมเป็นผลงานของ Jesuit และในบทความของเขาเขียนว่าใครก็ตาม (รวมทั้ง Eric) ที่ให้ข้อมูลว่าโลกกลมเกี่ยวกับ Jews/Judaism เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

อันนี้แปลมาให้แบบคร่าว ๆ ยังมีอีกหลายคนที่น่าสงสัยตามรายชื่อนี้เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะมีการสลับกันไปออกรายการของแต่ละฝั่งอยู่บ่อย ๆ Zhib Rhan / Crrow777 / Thomas Sheridon / Max Igan / Lori Frary / Steven William Engelhardt / Dave Johnson / Rayn Gryphon / Truthiracy ข้อสังเกตง่าย ๆ ถ้าใครมี production ดี ๆ มีเนื้อหาข้อมูลดี ๆ ก็แสดงว่าต้องมีทีมงานจัดทำให้ ซึ่งก็หมายถึงต้องมีเงินจ้าง แล้วเงินทุนนั้นมาจากไหน?? ก็ต้องพิจารณากันให้ดี



กระบวนการ controlled oposition - ฝ่ายค้านจัดตั้งก็เป็นวิธีนึงที่มักถูกใช้เพื่อเป็น propaganda ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นเรื่องจริง 50% เหมือนได้ข้อมูลรั่วมาแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด หรือบางทีก็ให้ข้อมูลผิด ๆ เพื่อสร้างความคลางแคลงใจหรือทำให้ดูเป็นเรื่องตลก และทำให้เรื่อง conspiracy เป็นแค่เรื่องบันเทิงคนอ่านก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไร แต่ที่จริงแล้วมันก็คือวิธีทำให้คนหลงทาง การทำให้แรงดันน้อยลงจุดประสงค์ก็เพื่อทำให้พลังงานในการขับเคลื่อนน้อยลง วิธีการที่ใช้ก็มีหลากหลายรูปแบบ ตอนแรกก็อาจจะแสดงความเห็นด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือตอนหลังอาจจะให้ข้อมูลแปลก ๆ แต่วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อพยายามป่วนให้คนเข้าใจผิด


นักวิทยาศาสตร์กับโลกแบน
มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนถูกใช้เป็นเครื่องมือผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อ discredit โลกแบน เนื่องจากความน่าเชื่อถือในความรู้ของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น



Professor Brian Cox เป็นนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษสอนอยู่ที่ University of Manchester และทำรายการโทรทัศน์มานานหลายปีกับ BBC เขาออกมาบอกว่าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่เขารู้มาไม่เคยมีใครคิดว่าโลกแบน แต่ที่จริงมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากหลายแห่งที่บอกว่าคนในยุคโบราณต่างก็เชื่อว่าโลกแบน และมีลักษณะคล้าย ๆ กันคือมีแผ่นดิน มีน้ำล้อมรอบ และมีโดมครอบอยู่อีกที




พวกเขาเหล่านี้ก็พูดไปตามที่ถูกว่าจ้างมาซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการทำงาน เป็นอาชีพของพวกเขา นอกจากจะได้รับค่าจ้างก็ยังได้รับเกียรติยศ ชื่อเสียง มีความนิยมตามมาอีก ซึ่งก็มาจากองค์กรหรือนายทุนที่มอบให้เป็นรางวัลในการทำงานตามที่สั่งยอดเยี่ยม

แล้วคุณค่า (value) ของความซื่อสัตย์ในวิชาชีพ
ความซื่อตรงต่อความจริง (truth) อยู่ที่ไหน??







-------------------------------------------------------

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

13) งานวิจัยจัดอันดับความราบเรียบของรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา (The Flatness of U.S. States)

13) ลองดูการศึกษาทางภูมิศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กันบ้างว่าโลกแบนจริงหรือเปล่า

เวลานักท่องเที่ยวขับรถผ่านรัฐ Kansas มักจะพูดถึงรัฐนี้อย่างตลก ๆ ว่า "This state is as flat as a pancake." (รัฐนี้แบนราบยังกับแพนเค้ก) Kansas เป็นรัฐที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่เกือบใจกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ 213,100 ตร.กม. (กว้าง 660 กม. ยาว 343 กม.) ซึ่งใหญ่เป็นลำดับที่ 15 ของประเทศ (1)

รัฐ Kansas

Kansas มีลักษณะภูมิประเทศตั้งอยู่บนที่ราบผืนใหญ่ใจกลางอเมริกาและคนมักจะคิดว่ารัฐนี้เป็นรัฐที่แบนราบที่สุดในประเทศ แต่จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2003 พิสูจน์ออกมาว่ารัฐ Kansas แบนราบเรียบซะยิ่งกว่าแพนเค้กซะอีก (flatter than a pancake) (2)


"Kansas is flatter than a pancake."


งานวิจัยชิ้นที่ 1) Kansas Is Fatter Than a Pancake
งานวิจัยนี้อาจจะฟังดูตลกขำ ๆ แต่นักวิจัยใช้วิธีศึกษาอย่างจริงจังโดยใช้กล้อง confocal laser microscope (เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ให้ความละเอียดสูงมาก) เพื่อศึกษาลักษณะพื้นผิวแพนเค้กของร้าน IHOP เปรียบเทียบกับลักษณะพื้นที่ของรัฐ Kansas ซึ่งใช้การวัดพื้นที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 250,000 ด้วย digital elevation model (DEM) ที่ดึงข้อมูลมาจาก United States Geological Survey ผลออกมาปรากฏว่ารัฐ Kansas มีลักษณะแบนราบเรียบยิ่งกว่าแพนเค้กซะอีก




งานวิจัยนี้อยู่ในเว็บไซต์ Improbable Research ซึ่งก็เป็นที่สนใจจนสำนักข่าวหลายแห่งเอาไปลงข่าว ทีมวิจัยมีทั้งหมด 3 คน คือ Mark Fonstad และ William Pugatch มาจากภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัย Texas State University และ Brandon Vogt มาจากภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัย Arizona State University






ผลการเปรียบเทียบภาพระหว่างแพนเค้กกับพื้นที่ของรัฐ Kansas จะเห็นว่าทั้งสองอย่างแบนมาก และด้วยวิธีการคำนวณทางคณิตศาสตร์สามารถบอกได้ว่าแพนเค้กมีความแบนราบระดับ 0.957 ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างแบนแต่ยังไม่แบนที่สุด ส่วนการคำนวณความแบนราบของรัฐ Kansas ได้ตัวเลขออกมาประมาณ 0.9997 ซึ่งนักวิจัยสรุปว่า "damn flat" (โคตรแบน)


Associate Professor Mark Fonstad

ปัจจุบัน Mark Fonstad (หัวหน้าทีมวิจัย) เป็นรองศาสตราจารย์สอนอยู่ภาควิชาภูมิศาสตร์ที่ University of Oregon


งานวิจัยชิ้นที่ 2) The Flatness of U.S. States
ถัดมาในปี 2013 มีงานวิจัยอีกชิ้นนึงจากมหาวิทยาลัย University of Kansas ชื่องานวิจัย The Flatness of U.S. States ของ Jerome E. Dobson เป็น Professor ด้านภูมิศาสตร์สอนอยู่ที่ University of Kansas และ Joshua S. Campbell เป็นนักภูมิศาสตร์เชี่ยวชาญด้าน GIS จากหน่วยงาน Office of the Geographer and Global Issues at the Department of State, Washington, D.C. มีบทความให้โหลดอ่านได้ฟรีที่ลิงค์นี้ http://www.disruptivegeo.com/category/flat-map-2/



Dr. Jerome เล่าให้ฟังอย่างติดตลกว่าคนไม่ค่อยอยากมาทำงานที่ Kansas เพราะคิดว่ามันแบนราบน่าเบื่อ 


งานวิจัยชิ้นนี้ใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จากเรดาร์ของ NASA แล้วใช้โปรแกรม GIS คำนวณเพื่อเอามาทำแผนที่และจัดลำดับความแบนราบของแต่ละรัฐในอเมริกา โดยคำนวณตามเปอร์เซ็นต์ความแบนและแบ่งออกเป็น 3 ระดับ แบน แบนมากกว่า และแบนมากที่สุด (flat, flatter, และ flattest) การสำรวจนี้เป็นการศึกษาทั้งหมด 48 รัฐและรวมทั้ง District of Columbia

ข่าวสั้น ๆ จากช่อง GeoBeats News
https://www.youtube.com/watch?v=WBljD8jUFoM

การสำรวจเริ่มจากการกำหนดรูปแบบโดยนักวิจัยใช้วิธีวัดแบบวงกลม 360 องศา แบ่งส่วนในวงกลมออกเป็น 16 ส่วน ๆ ละ 22.5 องศา และแบ่งระดับความแบนออกเป็น 16 ระดับ ในแต่ละเซลล์จะวัดจากตรงกลางยาวออกไป 3.3 ไมล์ (ซึ่งได้คำนวณการมองเห็นตามข้อจำกัดความโค้งของโลกไว้แล้วโดยประมาณสำหรับคนสูง 6 ฟุต) หากมองออกไปด้วยมุมที่สูงจากพื้น 0.32 องศา แล้วเห็นยอดภูเขาที่สูง 100 ฟุต ในระยะห่างออกไป 3.3 ไมล์ เซลล์นั้นจะถูกระบุว่า "แบน" นักวิจัยใช้การคำนวณและทำแบบนี้ไปทุกรัฐจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศซึ่งถือว่าเป็นการวัดที่ละเอียดมาก (3)


ผลการวิจัยออกมาว่า 10 อันดับรัฐที่แบนที่สุดคือ
1. ฟลอริดา
2. อิลลินอยส์
3. นอร์ทดาโกา
4. ลุยเซียนา
5. มินนิโซตา
6. เดลาแวร์
7. แคนซัส
8. เทกซัส
9. เนวาดา
10. อินเดียนา


หลังจากที่งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ก็มีหลายสำนักข่าวเอาไปเขียนบทความ เช่น








นอกจากนั้นงานวิจัยชิ้นนี้ก็ยังถูกอ้างหลายที่ในหนังสือชื่อ "Flatness" ของ B. W. Higman


มีตัวอย่างหนังสือให้อ่านได้ใน Google Book 


งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาระดับปริญญาเอกของ Joshua S. Campbell ซึ่งมี Professor Jerome Dobson เป็นที่ปรึกษา และตอนนี้ Dr. Jerome ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ American Geographical Society

 

















Joshua S. Campbell อธิบายว่าการจัดทำแผนที่ Flat Map ของสหรัฐอเมริกานี้จะเป็นประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การหาพื้นที่จัดตั้ง wind farm เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและยังช่วยในการวางแผนเพื่อทำระบบจัดการระบายน้ำ


3) พื้นที่แบนราบมักมีปัญหากับการระบายน้ำ

รัฐ Kansas เป็นรัฐที่มีพื้นที่แบนราบอยู่หลายแห่งดังนั้นจึงมักมีปัญหาการระบายน้ำ การทำแผนที่จึงช่วยในการวางแผนการติดตั้งเครื่องระบายน้ำ

http://www.kgs.ku.edu/General/Geology/Sedgwick/geog01.html

น่าจะคล้าย ๆ กับบริเวณภาคกลางของประเทศไทยที่เป็นที่ราบลุ่มเรามักเจอปัญหาน้ำท่วมแล้วระบายน้ำช้ามาก แต่ที่จริงความโค้งของโลกน่าจะช่วยทำให้น้ำไหลลงได้ดีเหมือนในภาพ...


-------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง
1) https://en.wikipedia.org/wiki/Kansas
2) https://www.improbable.com/airchives/paperair/volume9/v9i3/kansas.html
3) https://www.theatlantic.com/technology/archive/2014/03/science-several-us-states-led-by-florida-are-flatter-than-a-pancake/284348/


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

12) การคำนวณเส้นรอบวงของโลกโดย Eratosthenes (Measurement of the Earth's Circumference)

การคำนวณเส้นรอบวงของโลกโดย Eratosthenes (Measurement of the Earth's Circumference)

ในยุคกรีกมีนักปราชญ์หลายคนที่พยายามศึกษาเรื่องรูปร่างลักษณะของโลก และได้มีการทดลองและคำนวณโดย Eratosthenes (เอราทอสเทนีส) ซึ่งเขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักกวี นักดาราศาสตร์ และเป็นนักทฤษฎีด้านดนตรี ชาวกรีก ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องสมุด Library of Alexandria ด้วย (1)


Library of Alexandria


จากการทดลองของเขาได้ผลลัพธ์คือเส้นรอบวงของโลกมีความยาวประมาณ 250,000 stades (stade คือหน่วยวัดที่ใช้ในสมัยนั้น) หรือประมาณ 40,000 กม. (2) และความยาวของเส้นรอบวงของโลกตามตามข้อมูลในสมัยใหม่คือ 40,075 กม. (3) ซึ่งก็ถือว่ามีความใกล้เคียงมาก



  • แต่จากคลิปนี้มีข้อสังเกตหลายอย่างกับการคำนวณของ Eratosthenes

WORST Globe Proof Ever? GED Skeptic's Eratosthenes
https://www.youtube.com/watch?v=SLvTMElrFuw

ข้อมูลใน wikipedia บอกว่าการทดลองของ Eratosthenes นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐาน 5 ข้อตามนี้ (ซึ่งใน wikipedia ระบุไว้ว่าไม่มีข้อใดถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบซักข้อ)



สมมติฐาน 5 ข้อ
1) ระยะทางระหว่างเมือง Alexandria และ Syene ห่างกัน 5,000 stadia
2) เมือง Alexandria อยู่ทางด้านเหนือของเมือง Syene
3) เมือง Syene อยู่บนเส้น Tropic of Cancer
4) โลกมีลักษณะกลมอย่างสมบูรณ์แบบ
5) แสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์เป็นแบบเส้นขนาน

ข้อมูลใน wikipedia ได้อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมคณิตศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (Mathematical Association of America) ซึ่งมีบทความอธิบายถึงการทดลองของ Eratosthenes เขียนโดย Newlyn Walkup จากมหาวิทยาลัย University of Missouri ภายใต้การดูแลของ  Dr. Richard Delaware ซึ่งเป็นบทความที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันบทความประวัติศาสตร์ด้านคณิตศาสตร์ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยสมาคมคณิตศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (4)



ในบทนำได้กล่าวถึงการทดลองของ Eratosthenes ไว้ว่าเป็นตำนานที่ยาวนานมากว่าสองพันปี แต่เนื่องจากห้องสมุด Alexandria ถูกเผาทำลายจึงทำให้ไม่มีหลักฐานในการค้นคว้าข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่เหล่านักวิชาการต่างก็เชื่อว่า Eratosthenes ได้ทำการทดลองและคำนวณเส้นโค้งของโลกได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และกุญแจสำคัญของปริศนาชิ้นนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์คือระยะทางที่แท้จริงของหน่วยวัด "stade" นอกจากนั้นเนื่องจากการที่ไม่มีหลักฐานในการพิสูจน์จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าการทดลองครั้งนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือเป็นการใช้ตัวเลขจากข้อมูลของคนอื่น ปริศนาชิ้นสำคัญที่สุดก็คือทำไม Eratosthenes ต้องใส่ตัวเลขจำนวน 2,000 stades ในภายหลังอย่างไม่มีที่มาไปในเส้นรอบวงของโลกด้วย


Eratosthenes

Eratosthenes เป็นผู้รอบรู้ในหลาย ๆ ด้าน แต่เขาไม่ได้เป็นระดับ "Alpha" (ดีที่สุด) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อน ๆ ของเขามีชื่อเล่นเรียกเขาว่า "Beta" (เป็นตัวอักษรลำดับที่ 2 ของภาษากรีก) ในช่วง 235 ปีก่อนคริสต์ศักราชEratosthenes ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าห้องสมุด Alexandria ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ที่ใหญ่มากในยุคนั้น ห้องสมุด Alexandria เป็นที่เก็บเอกสารสำคัญ ๆ จากทั่วโลกไว้กว่า 500,000 ชิ้น และเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ของนักศึกษาและคนที่สนใจทั่วโลก

ประเด็นแรกที่บทความนี้ชี้ให้เห็นคือเรื่องการตกกระทบของแสงแดดกับมุมของไม้ที่ปักไว้ Eratosthenes ใช้สมมติฐานว่าแสงแดดส่องมายังโลกในแนวขนานกัน ซึ่งต่างกับการอธิบายเรื่องสุริยุปราคาจะบอกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกเป็นแบบแนวเฉียงและมีมุมที่ตัดกัน

ในการทดลองของ Eratosthenes แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแบบขนานกัน




แต่เวลาอธิบายเรื่องสุริยุปราคาแสงจากดวงอาทิตย์จะเป็นแนวเฉียงและมีมุมตัดกัน


ต่อมาเรื่องหน่วยวัด stade ที่ Eratosthenes ใช้ว่ามีระยะทางเท่าไหร่กันแน่ เนื่องจากหน่วยวัดนี้มีความสั้นยาวไม่ตรงกันซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ที่ใช้ โดยที่ Carl Friedrich Lehmann-Haupt นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรีกชี้แจงว่าที่จริงแล้วหน่วยวัด stade นี้มีความแตกต่างอย่างน้อยใน 6 พื้นที่ที่ใช้ไม่เหมือนกัน เมื่อได้คำนวณความยาวของ stade ที่แต่ละแห่งใช้จึงได้ความยาวของเส้นรอบวงของโลกแตกต่างกันตามตารางด้านล่าง ซึ่งจะมีความคลาดเคลื่อนแตกต่างกันไป


สมมติฐานที่บอกว่าระยะทางจากเมือง Alexandria และ Syene ห่างกัน 5,000 stadia ซึ่งทั้งสองเมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมทุกปี และโดยปกติจะมีการวัดระยะทางใหม่และทำการบันทึกไว้เป็นประจำทุกปี จึงเป็นไปได้ว่าตัวเลข 5,000  stades ที่ Eratosthenes ใช้นี้เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เค้าประมาณการเพื่อเอามาใช้ในการคำนวณ ซึ่งไม่น่าจะเป็นตัวเลขที่มาจากระยะทางจริง ๆ

แผนที่ที่ Eratosthenes ใช้ในการคำนวณมาจากแผนที่ที่เค้าทำไว้เองโดยใช้การวางเส้นเมอริเดียนแบบตัดขนานกันตามภาพ และปัจจุบันเมือง Syene คือเมือง Aswan ซึ่งจะไม่ได้อยู่ทางทิศเหนือตรงเป๊ะแบบในแผนที่ของ Eratosthenes


และในปัจจุบันที่เราทราบคือโลกไม่ได้เป็นทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบเพราะนักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันเองว่าโลกเป็นทรงกลมแป้นเหมือนผลส้ม (oblate spheroid) และอีกทีนึงก็บอกอีกว่าเป็นทรงลูกแพร์ (pear shape)


Earth Is Pear Shaped - Neil deGrasse Tyson


ต่อมามีการแก้ไขตัวเลขเส้นรอบวงของโลกซึ่งจากเดิมที่ Eratosthenes คำนวณได้คือ 250,000 stades แต่ในงานของคนอื่น ๆ ที่ได้อ้างอิงการทดลองของเขาได้ใช้ตัวเลข 252,000 stades ซึ่งไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าตัวเลข 2,000 ที่เพิ่มเข้ามานั้นมาด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ โดยมีผู้ที่ศึกษาค้นคว้าได้ให้เหตุผลไว้ 3 ทฤษฎีคือ

1) เป็นการเพิ่มระยะทางระหว่างเมือง Alexandria และ Syene จากเดิม 5,000 stades เป็น 5,040 stades จึงได้ผลลัพธ์ออกมาใหม่เป็น 252,000 stades แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะระยะทาง 40 stades นี่คือประมาณ 7 กม. จึงไม่ไม่น่าเป็นเหตุผลที่พื้นที่ของทั้งสองเมืองจะห่างออกไปเยอะขนาดนั้น

2) การวัดมุมองศาของเงาที่วัดจากเสาไม้ หากมุมเปลี่ยนจากเดิม 7 1/5 องศา เป็น 7 1/7 องศา ก็จะได้ผลลัพธ์ใหม่เป็น 252,000 stades แต่ก็ไม่น่าจะใช่เนื่องจากในสมัยนั้นเครื่องมือที่ใช้วัดที่ดีที่สุดคือ scaphe ซึ่งไม่น่าจะวัดได้ละเอียดขนาดนั้น

scaphe เครื่องมือที่ใช้

3) นักวิชาการบางคนเชื่อว่า Eratosthenes เพิ่มตัวเลข 2,000 เข้าไปเพื่อให้หาร 60 ลงตัว เนื่องจากในการคำนวณของเขาแบ่งส่วนรอบวงออกเป็น 60 ส่วน ซึ่งเรียกว่า hexacontades และถ้าหาร 250,000 จะได้ 4,166.7 stades ต่อ 1 hexacontade แต่ถ้าเป็น 252,000 หารด้วย 60 จะได้ลงตัวที่ 4,200 stades ต่อ 1 hexacontade


ทั้งสามเหตุผลนี้เป็นทฤษฎีที่อ้างมาจากงาน 3 ชิ้นนี้






นอกจากนั้นในคลิปได้นำเสนอบทความอีกชิ้นนึงจากวารสาร DIO The International Journal of Scientific History ซึ่งมีบทความจากการศึกษาการทดลองของ Eratosthenes และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในบทความระบุบอกว่า Eratosthenes อาจจะไม่ได้ทำการทดลองจริง ๆ เพราะ Eratosthenes สามารถใช้ตัวเลขจากการทดลองของคนอื่นที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้วมาคำนวณได้


ต่อมาในเอกสารยังพบว่า Eratosthenes เชื่อว่าดวงอาทิตย์เล็กกว่าโลก 12 เท่า และอยู่ห่างจากโลก 4,080,000 stades (4,080 ไมล์ หรือ 6,566.12 กม.) และดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 780,000 stades (780 ไมล์ หรือ 1,255.29 กม.) กลายเป็นว่าข้อมูลของ Eratosthenes ในส่วนนี้สอดคล้องกับข้อมูลของฝั่งโลกแบน



-----------------------------------

อ้างอิง
1) https://th.wikipedia.org/wiki/เอราทอสเทนีส
2) https://en.wikipedia.org/wiki/Eratosthenes
3) https://en.wikipedia.org/wiki/Earth
4) https://www.maa.org/press/periodicals/convergence/eratosthenes-and-the-mystery-of-the-stades-how-long-is-a-stade
5) http://home.adelphi.edu/~bradley/HOMSIGMAA/Walkup.pdf
6) http://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.691.8633&rep=rep1&type=pdf