วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

78) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าคู่แข่งโดยตรงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

1) ต้นกำเนิดของรถยนต์ไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าได้ถูกนำมาใช้เป็นพลังงานให้กับยานพาหนะนั้นเกิดมาก่อนรถที่ใช้ระบบน้ำมันหลายปี มีนักประดิษฐ์หลายคนสร้างรถขึ้นมาใช้เองเพื่อทดแทนรถม้า อย่างเช่น 


Ányos Jedlik จากประเทศฮังการี
ในปี 1828 Ányos Jedlik นักประดิษฐ์ วิศวกร และนักฟิสิกส์ชาวฮังกาเรียนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะขนาดเล็กที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นมา 




Thomas Davenport จากสหรัฐอเมริกา 
Thomas Davenport เป็นช่างตีเหล็กและเป็นผู้ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้ระบบไฟกระแสตรงได้เป็นคนแรกในปี 1834 เขาเอาสิ่งประดิษฐ์ของเขาไปให้โปรเฟสเซอร์ Turner แห่งมหาวิทยาลัย Middlebury College ดู และในปี 1835 เขาได้เผยแพร่ให้สาธารณชนดู โดยโทมัสได้ประดิษฐ์โมเดลรถไฟขึ้นมาแล้วเอามาติดมอเตอร์ไฟฟ้าที่เขาคิดเพื่อใช้เป็นพลังงาน และสิ่งประดิษฐ์ของเขาจึงเป็นต้นแบบของรถรางไฟฟ้าหรือที่เรียกว่ารถ trolley, tram, streetcars, และ locomotive และในปี 1837 เขาได้จดสิทธิบัตรมอเตอร์ไฟฟ้า (Patent #132) และเอามอเตอร์ไฟฟ้านั้มาใช้เป็นพลังงานให้กับรถยนต์ขนาดเล็กด้วย





Sibrandus Stratingh จากประเทศเนเธอร์แลนด์ 
ปี 1835 โปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh ออกแบบรถขนาดเล็กที่ใช้พลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าตามหลักการทางฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday และผู้ช่วยของเขา Christopher Becker ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำการวิจัยต่อเนื่องจากโปรเฟสเซอร์ Stratingh เสียชีวิตเมื่อปี 1841 ภาพนี้คือรถที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าของโปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh ตามหลักการฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday




Robert Anderson จากสก๊อตแลนด์ 
Robert Anderson ประดิษฐ์รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอร์รี่แต่ยังเป็นแบบชาร์จไฟไม่ได้ (primary cells) ในช่วงปี 1832 - 1839





รถคันนี้เป็นรถที่ใช้ระบบไฟฟ้าวิ่งเป็นคันแรก ๆ บนท้องถนนในกรุงลอนดอนในปี 1884 




รถ Electrobats เป็นยานพาหนะที่ใช้แบตเตอรี่ซึ่งถูกออกแบบและประดิษฐ์โดย Henry G. Morris และ Pedro G. Salom ถูกใช้เป็นรถแท๊กซี่กว่า 60 คันในกรุงนิวยอร์คในปี 1898 


2) รถยนต์ที่ใช้น้ำมันคันแรก
ส่วนรถน้ำมันคันแรกถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Karl Benz ซึ่งได้จดสิทธิบัตรในปี 1886 


1886 Benz

https://youtu.be/jHDoRDnQs20


Driving Mercedes Benz 1886 ...Turning Over

https://youtu.be/E88I8lm6vNc


3) แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ในยุคนั้นแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนามาจนมีการใช้งานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากเว็บ www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html ได้เขียนเปรียบเทียบแบตเตอรี่ในยุคนั้นกับแบตเตอรี่ในสมัยใหม่ อย่างเช่น รถ Nissan Leaf และ Mitsubishi-MiEV ที่ผลิตในปี 2010 แบตเตอรี่ที่ใช้ก็มีประสิทธิภาพเท่ากับรถ Fritchle ที่วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ชาร์จเร็วก็เกิดขึ้นแล้ว (สามารถชาร์จได้ 80% ภายใน 10 นาที) สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟ เทคโนโลยีมอเตอร์ในกงล้อก็มีแล้ว (in-wheel motors) การชาร์จไฟจากการเบรค (regenerative braking) ก็มีแล้ว ตั้งแต่ยุคปลายปี 1800 ถึงต้นปี 1900 ยานพาหนะไฟฟ้าจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นและเข้ามาแทนที่รถม้าในยุคก่อน



รถ Fritchle วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้งและแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานถึง 10,000 ไมล์ นอกจากนั้นคุณสมบัติอันโดดเด่นของ Fritchle คือความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่ได้จากการหมุนของล้อขณะที่กำลังวิ่งลงจากเนินเขา รถ Fritchle ได้ไปทดสอบวิ่งระยะทางไกลตั้งแต่เมืองลินคอล์น รัฐเนบลาสกาจนถึงกรุงนิวยอร์คในปี 1908 โดยใช้เวลา 20 วัน บนถนนทุกรูปแบบ และบริษัท Fritchle ยังมีสถานีสำหรับชาร์จไฟให้ตลอดเส้นทาง 


Fritchle Electric Car


การสาธิตการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้รถไฟฟ้าโดย Mr. Harry Salvat ประธานบริษัท The Fashion Automobile Station, Inc. ซึ่งทำความเร็วในการเปลี่ยนแบตได้เร็วเท่ากันหรือเร็วกว่าการเติมน้ำมันเต็มถังซะอีก



4) สถานีชาร์จไฟและเครื่องชาร์จไฟที่บ้าน





โฆษณาเครื่องชาร์จไฟใช้ในบ้านโดยบริษัท GE Electric ที่โฆษณาว่าขายได้กว่า 8,000 เครื่องแล้วจากนิตยสาร New York MOTOR AGE วันที่ 2 พฤษภาคม 1912 หน้าที่ 88



5) ความนิยมของรถไฟฟ้า
ช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 คือยุคทองแห่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพราะใช้งานง่ายกว่ารถที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มผู้หญิง เนื่องจากรถน้ำมันที่ใช้เครื่องยนต์ต้องสตาร์ทเครื่องด้วยการใช้ข้อเหวี่ยง (crank) จึงไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งาน


Stock Footage - VINTAGE. HAND CRANK. FRUSTRATED DRIVER (1910s) / CARS


การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงมากในปี 1912 ขณะนั้นในประเทศอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนนราว 30,000 คัน 2 ใน 3 คันเป็นยานพาหนะส่วนตัว และในยุโรปมีประมาณ 4,000 คัน แคตตาล็อกโฆษณาขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วงปี 1895 - 1925 





Thomas Edison กับรถยนต์ไฟฟ้าของเขาในปี 1913


หลังจากนั้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะว่าวิ่งเร็วกว่า วิ่งได้ระยะทางไกลมากกว่า แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะว่ามีพลังงานมากกว่า แต่เป็นเพราะมีปั๊มให้เติมน้ำมันเยอะกว่าสถานีชาร์จไฟของรถไฟฟ้า 

ต่อมาในปี 1908 บริษัทฟอร์ดได้ผลิตรถรุ่น Model-T ออกมาซึ่งขายในราคาแค่ 850 เหรียญ แล้วพอถึงปี 1912 ฟอร์ดลดราคาขายลงเหลือแค่ 650 เหรียญซึ่งราคาถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้า 2-3 เท่าตัว และในปีเดียวกันรถยนต์น้ำมันที่ใช้การสตาร์ทด้วยระบบไฟฟ้าก็ออกมา จึงทำให้รถพลังงานน้ำมันยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น พอมาช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ราคาน้ำมันก็เริ่มถูกลง มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจึงได้รับความนิยมมากขึ้นและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็เริ่มหายไป (http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html)


Ford Model T



Jay Leno เป็นเจ้าของคอลเลคชั่นรถโบราณ สาธิตการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตโดยบริษัท Baker ตั้งแต่ปี 1909 (วิ่งได้ 22 ไมล์ต่อชั่วโมง และวิ่งได้ประมาณ 100 ไมล์ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง) เปรียบเทียบกับฟอร์ดโฟกัสรุ่นที่ใช้ไฟฟ้า


JAY LENO COMPARES NEW AND 100-YEAR OLD ELECTRIC CARS

------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
1) https://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Parker_(inventor)
2)https://www.eee.hku.hk/doc/ccchan/CC_Chan_IEEE%20Proceedings%20The%20rise%20&%20fall%20of%20EVs.pdf
3) http://www.edisontechcenter.org/DavenportThomas.html
4) http://www.electricvehiclesnews.com/History/historyearlyII.htm
5) http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html
6) http://www.lowtechmagazine.com/overview-of-early-electric-cars.html
7) https://www.chuckstoyland.com/category/automotive/early-electric-cars/electric-early-suppliers/electric-general-electric-motors/

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563

73) สัณฐานโลก..กับ..มนุษย์ต่างดาว

สัณฐานโลก..กับ..มนุษย์ต่างดาว

       ในอดีตนักปรัชญาชาวกรีกมีทั้งที่เชื่อว่าโลกแบนและโลกกลม โดยเชื่อเช่นนั้นมาตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตศักราช แต่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่กลับนำเสนอเฉพาะฝั่งที่เชื่อว่าโลกกลม เช่น
        - อริสโตเติลที่เชื่อว่าโลกกลมด้วยสมมติฐานจากการเห็นเรือใบลับขอบฟ้า / การสังเกตเงาบนดวงจันทร์ในช่วงจันทรุปราคา / การไม่สามารถมองเห็นดวงดาวพร้อมๆกันจากพื้นที่ต่างๆบนโลก
       - เอราทอสเธนีสเชื่อว่าโลกกลมและพยายามวัดหาขนาดโลกผ่านการสังเกตเงาของเสา
       ซึ่งสมมติฐานเหล่านี้ถูกนำมาบรรจุในหนังสือ การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (
De Revolutionibus Orbrium Codestium หรือ On the Revolutions of the Heavenly Bodies หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Revolutions) ของโคเปอร์นิคัสในช่วงปี 1543 และนี่คือตัวอย่างโมเดลโลกกลมของชาวกรีก



       แต่ความเชื่อว่า “โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์” นั้นมีมาตั้งแต่ยุคสุเมเรียน-บาบิโลเนียนตั้งแต่ 4,500-6,000 ปี โดยเราสามารถเห็นได้จากแผ่นหินสลัก ถึงแม้รูปดวงดาวจะยังไม่เข้าสัดส่วน แต่รูปแบบนี้สอดคล้องกับดาราศาสตร์ยุคใหม่ที่เรายึดถือกันในปัจจุบัน ข้าง ๆ นั้นมีรูปสลักเทพเจ้าแห่งดวงดาว/Anunnaki (แปลว่าสวรรค์ที่ลงมายังโลก) ซึ่งเทพ Enki นั่งบนเก้าอี้ โดยเทพเหล่านี้เดินทางมายังโลกผ่านประตูสู่ดวงดาว (Star Gate) นี่คือหลักฐานว่าระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric อยู่คู่กับความเชื่อของผู้ที่บูชาดวงอาทิตย์และบูชาดวงดาวมาตั้งแต่แรกเริ่มบนหน้าประวัติศาสตร์



       จากแผ่นจารึกของชาวบาบิโลนซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์บริติชทำให้ทราบว่าความรู้ด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ทั้งของอียิปต์และของกรีกนั้นหยิบยืมมาจากบาบิโลนเพราะชาวบาบิโลนมีการบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบด้วยภาษาคูนิฟอร์มที่บอกเล่าถึงสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆผ่านหน้ากลุ่มดาวจักราศี 
12 กลุ่ม  พวกเขาได้ตั้งชื่อ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าทั้งห้าดวงซึ่งกลายมาเป็นชื่อวันต่างๆในสัปดาห์ที่เราได้ใช้กันอยู่
ดู : A consideration of Babylonian astronomy within the historiography of science โดย Francesca Rochberg http://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.574.7121&rep=rep1&type=pdf



       ชาวบาบิโลนยังมีศาสนาแบบ
 Pantheistic คือเชื่อในเรื่องพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งนักวิชาการบางคนบอกว่ามีถึง 2,000 องค์โดยเปรียบเทียบดวงดาวต่าง ๆ ให้เป็นเทพเจ้า ที่ในปัจจุบันเรียกเทพเจ้าเหล่านั้นว่า “พระเจ้าจากต่างดาว/ Alien God”  ซึ่งก็คือ  “มนุษย์ต่างดาว” นั่นเอง


Alien-UFO

       เราเคยได้ยินคำว่า "เทพเจ้าแห่งดวงดาว" ที่ชาวบาบิโลนบูชา แต่คนทั้งโลกไม่เคยรู้จักคำว่า "มนุษย์ต่างดาวและจานบิน" มาก่อนเลยจนมีเหตุการณ์จานบินตกที่ Roswell ในปี 1947 ซึ่งจานบินเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ได้ทำการทดลองมาตั้งแต่ยุคนาซี และได้ส่งต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังสหรัฐผ่าน Operation Paperclip และไปยังรัสเซียในเวลาต่อมาเพื่อเข้าสู่ Space Race กับสหรัฐ 



ยานพาหนะชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับจานบินที่รัสเซียพยายามพัฒนาอยู่ในชื่อว่า Lokomoskyner สร้างโดยบริษัท LocomoSky Company ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล

"Flying Saucer" development in Russia


แต่ Alien, UFO คืออะไร  มีจริงหรือไม่ ?  
โมเดล 
"โลกแบน" และ "โลกกลม"  ให้คำตอบที่แตกต่างกัน

ประเด็นของโลกแบน
        เนื่องจาก “โลกแบน คือ ดินแดนแห่งหนึ่ง-หยุดนิ่งกับที่-เป็นศูนย์กลางจักรวาล” เป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิล กุรอาน Book of Enoch วิษณุปุราณะ ไตรภูมิพระร่วง เฮอร์เมส ธอธ และชนพื้นเมืองต่างๆ 



       ด้วยข้อมูลเช่นนี้ทำให้โมเดลโลกแบนตามคัมภีร์มีมุมมองว่า...

       1) เนื่องจากอยู่ใจกลางจักรวาล โลกจึงเป็นดินแดนที่ไม่เหมือนสถานที่ใดในจักรวาล
       2) โลกเป็นระบบปิดด้วยชั้นฟ้าโค้งรูปโดมอันแข็งแกร่ง เราจึงออกไปไม่ได้ และสิ่งอื่นก็ลงมายังโลกไม่ได้ ยกเว้นผู้ที่พระเจ้าประสงค์ เช่น ชาวฟ้า ซึ่งหมายถึง เทวดา เทวทูต ทูตสวรรค์ ไม่ใช่อยู่บนดวงดาว แต่พวกเขาอยู่เหนือโดมนั้น (ซึ่งคริสต์เชื่อว่าโดมมี 1 ชั้น พุทธเชื่อมีสวรรค์ 6 ชั้น ส่วนมุสลิมเชื่อว่าชั้นฟ้ามี 7 ชั้น)

ลักษณะของจักรวาลตามคัมภีร์ของชาวคริสต์



ลักษณะของเอกภพตามคติพุทธ บรรยายไว้ในเอกสารไตรภูมิพระร่วง



ชั้นฟ้าตามความเชื่อชาวเปอร์เซียโบราณ


ข้อสังเกต
       1) ท้องฟ้าภายในโดมชั้นที่ 1 มีขอบเขตจำกัด ดังนั้น Outer Space / Deep Space หรือห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ชวนเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่ขัดกับข้อมูลของแต่ละศาสนา



       2) ดวงดาวต่าง ๆ เป็นเพียงแสงพลาสม่าซึ่งมีสถานะเป็นก๊าซที่มีประจุไฟฟ้าและมีอุณหภูมิสูง ดวงดาวเหล่านั้นจึงไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตดู : ดวงดาวคือพลาสม่าของ Electric Universe 


      3) มนุษย์ต่างดาวเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอีกมิติบนโลกนี้ (ไม่ใช่มาจากดาวดวงอื่น) ซึ่งมีข้อมูลที่อธิบายว่าเราสามารถมองเห็นได้ที่ 430-770 Thz และสามารถได้ยินเสียงที่ 20hz-20Khz เท่านั้น  จึงยังมีคลื่นอีกมากมายที่ตาและหูของเราไม่สามารถเข้าถึงได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจึงอาจอยู่ข้าง ๆ ตัวเราบนโลกนี้ (ไม่ใช่มาจากดาวดวงอื่น) 


ประเด็นของโลกกลม       
        ส่วน "โลกกลม คือ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง” ที่กำลังชวนเชื่อสิ่งมีชีวิตต่างดาวและมนุษย์ต่างดาวสารพัดรูปแบบซึ่งเป็นการสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ Big Bang รวมถึงทฤษฎีต่าง ๆ ของจักรวาลวิทยายุคใหม่ไปในตัว โดยการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวถูกทำให้ดูเป็นไปได้เมื่อวิทยาศาสตร์ได้นำสมมุติฐานของนักปรัชญาชาวกรีกอย่างอาแนกซาเกอเริสว่า “ดวงจันทร์และดาวเคราะห์มีองค์ประกอบเหมือนโลก” (ไม่ได้เป็นเพียงพลาสม่าแบบที่โลกแบนเชื่อ)

        และสาเหตุที่ทำให้เราเริ่มเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงเกิดขึ้นในปี 1947 จากเหตุการณ์จานบินตกที่ Roswell และการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในระบบสุริยะอื่น ๆ ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นไปได้ในปี 1990 เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เราได้เรียนรู้บางอย่างที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูน่าตื่นเต้นกว่าเดิม ดวงดาวไม่ได้เป็นเพียงจุดที่ส่องแสงระยิบระยับ แต่ที่จริงแล้วมันคือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ ๆ...”  เพราะเมื่อเรายอมรับว่าดวงดาวมากมายเหล่านั้นคือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ ๆ เหมือนกับระบบสุริยะของเรา เราก็จะเข้าใจได้ว่าชีวิตจากต่างดาวก็ต้องมีอยู่จริงๆได้ไม่ต่างจากระบบสุริยะของเรา 

ดู : TWAS newsletter YEAR 2009, VOL.21, No.1, 2009, Page 12


       ทีมศิลปินของ NASA เคยยอมรับว่า “ภาพดวงดาวต่างๆที่ NASA นำเสนอทั้งหมดนั้นเป็นภาพ CGI (ภาพตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิค)”
       และภาพจากดาวเทียม Hubble ศิลปินก็ใช้ CGI ในการแต่งภาพเช่นเดียวกัน




       นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง Carl Sagan เคยกล่าวว่า “ฉันไม่รู้มาก่อนว่าดาวดวงอื่น ๆ มีลักษณะอย่างไร จนฉันมาเจอภาพวาดของ Bonestell”  มันน่าตกใจหรือไม่ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์กลับนำจินตนาการของศิลปินมาใช้อ้างอิงราวกับเป็นข้อเท็จจริง

      เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอะไรคือหลักฐานยืนยันว่า ดวงดาวอื่น ๆ มีองค์ประกอบเหมือนโลก...ดังสมมุติฐานของอาแนกซาเกอเริส ? และถ้าความจริงมันเป็นเพียงพลาสม่า...แล้วดวงดาวเหล่านั้นจะมีสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร ?

       ในขณะเดียวกัน “มนุษย์ต่างดาว” นั้นมีความคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตในอีกมิติตามความเชื่อของคนยุคก่อน จึงทำให้เราเข้าใจได้ว่ามนุษย์ที่มาจากดาวดวงอื่นไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริงแต่เป็นเพียงสิ่งมิชีวิตในอีกมิติบนโลกนี้เท่านั้นเอง และนี่คือความคล้ายคลึงดังกล่าว

       1) Grey Alien ซาตาน (คริสต์ อิสลาม)
       Aleister Crowley  เป็นชาวอังกฤษ เขาละทิ้งศาสนาคริสต์ของครอบครัวและตั้งชื่อตัวเองว่า "The Beast 666" (สัตว์ร้าย 666 ตามที่ไบเบิลกล่าวถึง) แล้วก่อตั้งศาสนาแห่ง Thelema (ศาสนานิยมความเร้นลับ)  โดยระบุว่าตนเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้รับมอบหมายให้นำมนุษยชาติเข้าสู่ Æon of Horus (ซึ่งควบคุมโดยพระบุตรฮอรัส) ในอิออนใหม่นี้เทเลมิทเชื่อว่ามนุษยชาติจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการตระหนักรู้ในตนเองและการทำให้เป็นจริงได้ด้วยตนเอง (ซึ่งคล้ายๆกับ Enlightenment/การตรัสรู้ตามความเชื่อของลัทธิ New  Age

       LAM (ภาพทางซ้าย)  คือลักษณะของซาตานที่ Crowley หมายถึง เปรียบเทียบกับมนุษย์ต่างดาวสายพันธ์เกรย์ (ภาพทางขวา) Crowley ยังกล่าวอีกว่า “วันนี้คนเรียกสิ่งนี้ (LAM)ว่าเทวดาและมารร้าย แต่พรุ่งนี้คนจะเรียกสิ่งนี้ด้วยชื่ออื่น”





       2) มนุษย์ต่างดาวรูปพลังงาน วิญญาณ (พุทธ) / ญิน (อิสลาม)       
        ดร.ไลออล วอทสันนักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ ดร.คาร์ล เซแกนนักดาราศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องมนุษยวิทยา อีกทั้งนักธรรมเปรียญผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องเทววิทยาศาสนศาสตร์ เหตุที่ต้องเชิญผู้ชำนาญการในสาขาวิชาเหล่านี้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ก็เพราะภายหลังจากการเข้าทรงของนางฟิลลิส 5-6 ครั้ง ปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น "สิ่ง" ที่มาเข้าคนทรงนั้นไม่ใช่ภูติผีวิญญาณอย่างเช่นที่ควรจะเป็น อะไรก็ตามที่พูดผ่านคนทรงออกมาอ้างตนเองเป็น "มนุษย์ต่างพิภพ" และเขาตั้งชื่อตัวเองว่า "ทอม" (Tom) เพื่อความสะดวกในการติดต่อเรียกชื่อกัน

       ในการติดต่อสนทนากันตอนหนึ่ง ดร.แอนดริจา ตั้งคำถามทอมผู้แทนมนุษย์ต่างดาวติดต่อทางโทรจิตผ่านมาทางนางฟิลลิสให้อธิบายว่าตนเองเป็นใคร หรือเป็นอะไร ... คำตอบของทอม ผ่านออกมาจากปากของนางฟิลลิส ซึ่งอยู่ในสภาพหลับอยู่ใต้การสะกดว่า "เราไม่ใช่สิ่งมีตัวตนที่จับต้องได้ แต่เราสามารถแสดงตัวตนให้จับต้องได้ และแลเห็นได้โดยผ่านทางร่างสังเคราะห์เทียมเมื่อจำเป็นต้องทำ มันเป็นการยากที่เราจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจได้ชัดเจนว่าเรามีรูปร่างในลักษณะใดก็ได้ เราสามารถแสดงรูปร่างของมนุษย์ได้ เราอาจจะแสดงตัวในรูปร่างของพลังงานที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็ได้ เราได้มีวิวัฒนาการไปไกลเหนือจุดแห่งความต้องการยึดเหนี่ยวทางร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุ เราไม่มีความต้องการร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อหนังมังสา"



       3) Reptilian Alien : พญานาค มังกร งูใหญ่ (พุทธ-คริสต์-อิสลาม)       
       เดวิด ไอค์ หนึ่งในนักทฤษฎีสมคบคิดชาวอังกฤษได้กล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์สัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Alien) ว่ามาจากกลุ่มดาวมังกร มายังโลกตั้งแต่ยุคสุเมเรียน บาบิโลนซึ่งเรียกกันว่า อะนุนนาคี/เทพเจ้าแห่งดวงดาว มนุษย์ต่างดาวประเภทนี้มีอยู่นับสิบสายพันธุ์ย่อยซึ่งแปลงกายคล้ายมนุษย์ได้ และยังสืบเชื้อสายถึงปัจจุบันแทรกซึมอยู่ในเหล่า Elite ภายใต้ชื่อ Reptilian Brotherhood (เช่นที่ความเชื่อที่ว่ากษัตริย์ของจีนสืบสายเลือดจากมังกร) โดยมีเป้าหมายที่จะครองโลกตามแผนการ New World Order เพื่อควบคุมมนุษย์ทั้งทางกายและใจได้เบ็ดเสร็จดั่งทาส ซึ่งไบเบิลได้กล่าวถึงมังกรที่ถูกขับไล่จากสวรรค์ว่า "และพญามังกรผู้ยิ่งใหญ่นั้นก็ถูกขับออกไป นั่นคืองูเก่าแก่ที่เรียกว่าพญามารและซาตาน ผู้ซึ่งล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก เขาถูกเหวี่ยงออกไปยังโลกและพร้อมกับพลพรรคของเขา"  (Revelation 12: 9)
       ที่อินเดียและอียิปต์มีรูปสลักหินเป็นเทพครึ่งมนุษย์ครึ่งงู ซึ่งในอดีตเราเรียกว่าพญานาค แต่ในปัจจุบันกลับถูกนิยามขึ้นใหม่ว่าเป็น Reptilian Alien

ดู รูปสลักครึ่งคนครึ่งงูที่อินเดีย และถูกนิยามว่าเป็น Reptilian Alien   
https://www.youtube.com/watch?v=8jopxrJPGMM&feature=share&fbclid=IwAR1h4ZDmdA-Jeh6omAp8paB1-1mG6juSh54G9GFhKZ_LAD9pv629SdnPw9I

ดู รูปสลักครึ่งคนครึ่งงูที่อียิปต์ และถูกนิยามว่าเป็น Reptilian Alien https://www.youtube.com/watch?v=tMgNj1h-_jE&fbclid=IwAR0ZMDhro0Xwc1LobeEkGxOv8YSqnx_ShMz-zhzL2riX-_cXH4vEI-F8UvY

       4) Alien God, พระเจ้าจากต่างดาว : แอนตีไครส์ (คริสต์) / ดัจญาล (อิสลาม)       
       มีกระแสชวนเชื่อจากบุคคลบางกลุ่มบอกว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จากดาวศุกร์ (ดาว Lucifer) ก็มีให้เห็นในสื่อของชาวคริสต์บางกลุ่มที่นิยมความเร้นลับ ซึ่งมีความเชื่อว่าแท้จริงแล้วพระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวผู้ที่สร้างมนุษย์เราขึ้นมา 



       ส่วน UFO ก็คือยานพาหนะของพระเจ้า ดังที่ได้มีการหลอมรวม UFO กับ  Vimana (วิมานลอยฟ้าของเหล่าเทวดา) และ Chariot of Gods (พาหนะของเทพเจ้า) เข้าด้วยกัน

       Vimana หมายถึง “ที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา” “ยานทิพย์” “พาหนะของพระเจ้า”  ซึ่งในปัจจุบันถูกตีความเป็นยานอวกาศ หรือ UFO โดยนักโบราณคดีชาวจีนที่ได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในจังหวัดลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต จารึกที่ค้นพบนี้ว่าด้วยเรื่องราวของการสร้างอวกาศยานในยุคโบราณแห่งแดนภารตะ อวกาศยานที่ว่าคือ “วิมานะ”




       Crop Circle ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ปริศนาขนาดมโหฬารที่เกิดบนทุ่งข้าวสาลีโดยเชื่อกันว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ต่างดาวที่มาสร้างไว้ นอกจาก Crop Circle จะมีหลากหลายรูปแบบแล้ว  Crop Circle ยังเคยปรากฎเป็นรูปวิมานะเช่นกัน




       แต่ในปัจจุบันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์เราสามารถทำ Crop Circle ขึ้นเองได้และดูแปลกตายิ่งกว่า Crop Circle ที่อ้างว่าเกิดจากมนุษย์ต่างดาวทำเสียอีก

       Chariot of Gods ภาพโบราณที่สลักตามที่ต่างๆทั่วโลกถูกนำมาตีความและนำมาใช้ในภาพยนตร์สารพัดเรื่อง และที่ชัดเจนที่สุดคือ Prometheus ที่ได้นำท่วงท่าของเทพเจ้าในอดีตที่อ้างว่ากำลังขับยวดยานสู่ห้วงอวกาศมาสื่อถึงเทพเจ้าจากต่างดาวที่กำลังควบคุมยาน UFO 



       ทั้งที่แต่เดิมผู้ที่ศึกษาอารยธรรมมายันเข้าใจว่า (ภาพกลาง) หมายถึงกษัตริย์ Pacal แห่ง Mayan, Mexico ที่ได้เดินทางสู่โลกใต้พิภพภายหลังความตาย โดยไม่เกี่ยวกับการเดินทางด้วยยานบินไปในห้วงอวกาศแต่อย่างใด

       ภาพยนตร์เรื่อง Gods of Egypt ก็ได้นำเสนอภาพเทพรากำลังขับเรือที่ลากดวงอาทิตย์ไปรอบโลกตามความเชื่ออียิปต์โบราณ ขณะเดียวกันฝั่งขององค์กรวิทยาศาสตร์อย่าง NASA ก็อ้างว่าค้นพบยาน UFO ขนาดใหญ่ลอยอยู่ข้างๆดวงอาทิตย์มาตลอดและไม่เคยหายไปไหน แม้ยานทั้งสองจะมีรูปลักษณ์ต่างกัน  แต่มันคือนัยเดียวกันว่ายานพาหนะของสุริยเทพรา คือยาน UFO ที่ NASA ตีความให้เป็นเช่นนั้น ดู : UFO by the Sun NASA



       แต่ในปี 2562 Edward Snowden อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองชาวอเมริกัน ผู้ปล่อยข่าวของโครงการการลับสุดยอดของรัฐบาลสหรัฐและอังกฤษแก่สื่อจนต้องลี้ภัยไปรัสเซีย ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเท่าที่ผมบอกได้ มนุษย์ต่างดาวไม่เคยติดต่อโลกเรา หรือแม้แต่ติดต่อหน่วยงานของสหรัฐ ผมทราบว่าทุกคนอยากให้มนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่กระนั้นสหรัฐก็ไม่ได้ซุกซ่อนข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลย ซึ่งผมได้เคยเข้าไปดูระบบเครือข่ายของ NSA CIA กองทัพ หรือกลุ่มอื่นๆ ผมไม่เห็นข้อมูลอะไรเลย ดังนั้นถ้าเราคิดว่าสหรัฐซุกซ่อนอะไรไว้ พวกเขาต้องซ่อนไว้อย่างดีมาก มากจนแม้แต่คนภายในยังไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน



       จะเห็นว่า  Alien+UFO ไม่มีความจำเป็นต้องมีอยู่จริง เพราะคืออย่างเดียวกับสิ่งที่เราเคยรู้จักกันอยู่ก่อนแล้วจากศาสนาของเรา
       แต่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่กลับประดิษฐ์ทฤษฎีต่างๆที่สร้างความเป็นไปได้การมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในห้วงอวกาศขึ้นมา ทั้งด้วยวิวัฒนาการ-บิกแบง-รูหนอน-ดาวเคราะห์มีองค์ประกอบเหมือนโลก-รวมถึง NASA ที่อ้างอยู่เสมอว่าค้นพบดาวเคราะห์ที่อาจมีสิ่งมีชีวิต

การปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปตามผลงานทางวิทยาศาสตร์
จะพาเราไปสู่ “Cosmic Religion” ได้อย่างไร ?

อะไรคือสาเหตุที่มนุษย์ต่างดาวจำเป็นต้องมีให้จงได้ ?

มันเป็นส่วนหนึ่งในการพาคนไปสู่ New  World Order ได้อย่างไร ?
พบคำตอบได้...ในตอนต่อไป

----------------------------------------------

ตอนที่ 1 วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น

ตอนที่ 2 ระบบ Heliocentric กับลัทธิ​ Lucifer​ian และ New​ World​ Order​