วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

39) ถ้าโลกแบนแล้วดาวอื่น ๆ แบนด้วยมั๊ย (Electric Universe / Plasma Universe / Electric Sky Theory)

"ถ้าโลกแบนแล้วดาวอื่น ๆ แบนด้วยมั๊ย"
Electric Universe / Plasma Universe / Electric Sky Theory

เรามาเข้าใจกันก่อนว่า "ดวงดาว" คืออะไร สถานะของดาวคือพลาสมา ซึ่งเป็นสถานะลำดับที่ 4 ของสสาร พลาสมาประกอบไปด้วยอนุภาคหรืออะตอมที่มีประจุไฟฟ้ารวมตัวกันอยู่ในลักษณะก๊าซ เมื่อมีอุณหภูมิสูงจะแตกตัวออกเป็นไอออนและเปลี่ยนสถานะเป็นพลาสมา 

What Exactly Is Plasma?


Plasma, The Most Common Phase of Matter in the Universe

99% ของสสารในอวกาศเป็นพลาสมา ดวงอาทิตย์และดวงดาวคือพลาสมา รวมถึง สายฟ้า (lightning) แสงเหนือ (Aurora Borealis) แสงนีออน ฯลฯ 



สสารในสถานะพลาสมานี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกโดยเซอร์ วิลเลียม ครูกส์ (Sir William Crookes) ในปี 1879 จากการทดลองของเขาโดยใช้หลอดแก้วสูญญากาศ (crookes tube) 


ต่อมาปี 1928 เออร์วิง แลงมัวร์ (Irving Langmuir) ได้เรียกก๊าซที่มีการแตกตัวเป็นไอออนนี้ว่า "พลาสมา" ดร. เออร์วิงเป็นทั้งนักเคมีและนักฟิสิกส์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 1932 


ดร. เออร์วิง แลงมัวร์


เขาเป็นผู้คิดค้นการสร้างฝนเทียม (cloud seeding) 

Irving Langmuir และนักวิทยาศาสตร์หลายคน เช่น Christian Birkeland (Norway, 1876-1917) และ Hannes Alfvén (Sweden, 1908-1995, Nobel prize 1970) มีความเห็นเกี่ยวกับอวกาศในระบบที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์กระแสหลัก (mainstream science) 

Christian Birkeland 
คริสเตียน เบิร์คแลนด์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าที่เข้าร่วมการสำรวจขั้วโลกเหนือ เขาศึกษาปรากฎการณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งหลายทั้งในห้องทดลองและในพื้นที่จริง รวมถึงปรากฎการณ์แสงเหนือและอธิบายการเกิดแสงเหนือด้วยความรู้ด้านแม่เหล็กไฟฟ้า เขาอาจจะไม่เคยได้รับรางวัลโนเบลแต่ก็ได้รับการเสนอชื่อหลายครั้ง และประเทศนอร์เวย์ได้ใช้ภาพของเขาอยู่หลังธนบัตร 200 โครนด้วย


Hannes Alfvén
ฮานส์ อัลเฟน อาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นบิดาของแนวความคิดเรื่องจักรวาลระบบไฟฟ้าเลยก็ว่าได้ เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1970 จากการศึกษาเรื่องนี้ แม้ว่างานวิจัยของเขามักจะถูกเพิกเฉยจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่



ระบบจักรวาลไฟฟ้า (Electric Universe) มีข้อสันนิษฐานว่า
1. อวกาศไม่ได้ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยพลาสมา
2. เทหวัตถุทั้งหลายไม่ได้มีสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้าแต่มีประจุไฟฟ้า รวมทั้งดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่าง ๆ
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเทหวัตถุนั้นส่วนใหญ่เป็นแม่เหล็กไฟฟ้า (แม่เหล็กไฟฟ้ามีกำลังแรงมากกว่าแรงโน้มถ่วง)
4. เป็นระบบจักรวาลแบบคงที่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ
5. ไม่มีบิ๊กแบง
6. ไม่จำเป็นต้องมีหลุมดำ สสารมืด พลังงานมืด ...

(อ้างอิงจาก David Talbott and Wallace Thornhill, The Electric Universe) 


คำถามว่าลักษณะของดาวอื่นแบนด้วยไหม?? 

เรามาดูหลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับพลาสมาว่ายังไงบ้าง

1) การเกิดพลาสมาต้องอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงและมีความหนาแน่น
2) พลาสมาเป็นตัวนำไฟฟ้าและทำความร้อนได้เร็วมากและยังสามารถแปรสภาพเป็นตัวนำไฟฟ้าโดยอาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ด้วย
3) พลาสมามีก๊าซเป็นส่วนประกอบและคุณสมบัติของก๊าซต้องอยู่ในภาชนะที่เป็นระบบปิด 


 


คลิปนี้อธิบายเรื่องลักษณะการทำงานของดวงอาทิตย์โดยใช้ลูกพลาสมาบอล (เคยเขียนบทความเกี่ยวกับการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบนไว้แล้วที่นี่ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/09/23.html)

Explaining the Sun with a Plasma Ball

คำตอบ

ถ้าจะตอบว่าดวงดาวมีลักษณะอย่างไรก็คงตอบตามลักษณะ (characteristic) ของก๊าซเพราะเป็นองค์ประกอบหลักของพลาสมา ลักษณะของก๊าซมีรูปร่างที่ไม่แน่นอนสามารถเปลี่ยนไปตามลักษณะของภาชนะและมีปริมาตรแตกต่างกันตามขนาดของภาชนะที่ใส่ (indefinite shape and indefinite volume) เพราะฉะนั้นดวงดาวอาจจะกลมหรือแบนก็ได้เพราะมีรูปร่างไม่แน่นอน

ทีนี้ลองมาดูว่าดวงดาวที่นักเล่นกล้องใช้กล้อง Nikon P900 ซูมภาพมาให้ดูกับที่นาซ่าทำมาให้ดูมันเหมือนกันไหม



Nikon P900 Stars- Real Stars and Planets vs NASA images. Stars are not what they tell us!



เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วมีคลิปนี้ออกมาและมีเนื้อหาน่าสนใจมาก เป็นคลิปที่นักข่าวสัมภาษณ์ Prof. R. Foster เมื่อปี 1965 เกี่ยวกับดวงจันทร์ โดยอธิบายว่าดวงจันทร์ไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นพลาสมาซึ่งทฤษฎีนี้ได้รับการยืนยันมาแล้วตั้งแต่ปี 1958 นักข่าวถามต่อว่า "แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากโปรเฟสเซอร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง" โปรเฟสเซอร์ฟอสเตอร์ตอบว่า "ถ้าหากดวงจันทร์เป็นพลาสมาจริงก็จะไม่สามารถมีมนุษย์คนใดสามารถไปเยือนดวงจันทร์ได้ การพยายามนำยานลงจอดย่อมล้มเหลว ซึ่งหมายความว่ามวลของดวงจันทร์นั้นน้อย น้อยกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก จึงทำให้มันมีสถานะทางพลังงานน้อยกว่า มวลน้อยกว่า ซึ่งก็หมายความว่าดวงจันทร์ไม่สามารถใช้อธิบายเกี่ยวกับน้ำขึ้น-น้ำลงได้..... และถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าดวงจันทร์เป็นพลาสมาก็จะทำให้ทฤษฎีแรงดึงดูดทั้งหมดล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลและกฎของมันก็ต้องได้รับการกำหนดกันใหม่"


1965 scientist claims the moon is plasma - UNCUT | RetroFocus



1965 scientist claims the moon is plasma, landing on it won’t be possible

------------------------------------------------------------