"ถ้าโลกแบนแล้วดาวอื่น ๆ แบนด้วยมั๊ย"
Electric Universe / Plasma Universe / Electric Sky Theory
เรามาเข้าใจกันก่อนว่า "ดวงดาว" คืออะไร สถานะของดาวคือพลาสมา ซึ่งเป็นสถานะลำดับที่ 4 ของสสาร พลาสมาประกอบไปด้วยอนุภาคหรืออะตอมที่มีประจุไฟฟ้ารวมตัวกันอยู่ในลักษณะก๊าซ เมื่อมีอุณหภูมิสูงจะแตกตัวออกเป็นไอออนและเปลี่ยนสถานะเป็นพลาสมา
What Exactly Is Plasma?
Plasma, The Most Common Phase of Matter in the Universe
99% ของสสารในอวกาศเป็นพลาสมา ดวงอาทิตย์และดวงดาวคือพลาสมา รวมถึง สายฟ้า (lightning) แสงเหนือ (Aurora Borealis) แสงนีออน ฯลฯ
สสารในสถานะพลาสมานี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกโดยเซอร์ วิลเลียม ครูกส์ (Sir William Crookes) ในปี 1879 จากการทดลองของเขาโดยใช้หลอดแก้วสูญญากาศ (crookes tube)
Crookes tube
https://www.youtube.com/watch?v=bNGyYqiz7Bg
https://www.youtube.com/watch?v=bNGyYqiz7Bg
ต่อมาปี 1928 เออร์วิง แลงมัวร์ (Irving Langmuir) ได้เรียกก๊าซที่มีการแตกตัวเป็นไอออนนี้ว่า "พลาสมา" ดร. เออร์วิงเป็นทั้งนักเคมีและนักฟิสิกส์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 1932
ดร. เออร์วิง แลงมัวร์
เขาเป็นผู้คิดค้นการสร้างฝนเทียม (cloud seeding)
Irving Langmuir และนักวิทยาศาสตร์หลายคน เช่น Christian Birkeland (Norway, 1876-1917) และ Hannes Alfvén (Sweden, 1908-1995, Nobel prize 1970) มีความเห็นเกี่ยวกับอวกาศในระบบที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์กระแสหลัก (mainstream science)
Christian Birkeland
Hannes Alfvén
ฮานส์ อัลเฟน อาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นบิดาของแนวความคิดเรื่องจักรวาลระบบไฟฟ้าเลยก็ว่าได้ เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1970 จากการศึกษาเรื่องนี้ แม้ว่างานวิจัยของเขามักจะถูกเพิกเฉยจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่
ระบบจักรวาลไฟฟ้า (Electric Universe) มีข้อสันนิษฐานว่า
1. อวกาศไม่ได้ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยพลาสมา
2. เทหวัตถุทั้งหลายไม่ได้มีสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้าแต่มีประจุไฟฟ้า รวมทั้งดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่าง ๆ
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเทหวัตถุนั้นส่วนใหญ่เป็นแม่เหล็กไฟฟ้า (แม่เหล็กไฟฟ้ามีกำลังแรงมากกว่าแรงโน้มถ่วง)
4. เป็นระบบจักรวาลแบบคงที่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ
5. ไม่มีบิ๊กแบง
6. ไม่จำเป็นต้องมีหลุมดำ สสารมืด พลังงานมืด ...
2. เทหวัตถุทั้งหลายไม่ได้มีสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้าแต่มีประจุไฟฟ้า รวมทั้งดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่าง ๆ
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเทหวัตถุนั้นส่วนใหญ่เป็นแม่เหล็กไฟฟ้า (แม่เหล็กไฟฟ้ามีกำลังแรงมากกว่าแรงโน้มถ่วง)
4. เป็นระบบจักรวาลแบบคงที่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ
5. ไม่มีบิ๊กแบง
6. ไม่จำเป็นต้องมีหลุมดำ สสารมืด พลังงานมืด ...
(อ้างอิงจาก David Talbott and Wallace Thornhill, The Electric Universe)
คำถามว่าลักษณะของดาวอื่นแบนด้วยไหม??
เรามาดูหลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับพลาสมาว่ายังไงบ้าง
1) การเกิดพลาสมาต้องอยู่ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงและมีความหนาแน่น
2) พลาสมาเป็นตัวนำไฟฟ้าและทำความร้อนได้เร็วมากและยังสามารถแปรสภาพเป็นตัวนำไฟฟ้าโดยอาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ด้วย
3) พลาสมามีก๊าซเป็นส่วนประกอบและคุณสมบัติของก๊าซต้องอยู่ในภาชนะที่เป็นระบบปิด
2) พลาสมาเป็นตัวนำไฟฟ้าและทำความร้อนได้เร็วมากและยังสามารถแปรสภาพเป็นตัวนำไฟฟ้าโดยอาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ด้วย
3) พลาสมามีก๊าซเป็นส่วนประกอบและคุณสมบัติของก๊าซต้องอยู่ในภาชนะที่เป็นระบบปิด
คลิปนี้อธิบายเรื่องลักษณะการทำงานของดวงอาทิตย์โดยใช้ลูกพลาสมาบอล (เคยเขียนบทความเกี่ยวกับการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบนไว้แล้วที่นี่ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/09/23.html)
Explaining the Sun with a Plasma Ball
คำตอบ
ถ้าจะตอบว่าดวงดาวมีลักษณะอย่างไรก็คงตอบตามลักษณะ (characteristic) ของก๊าซเพราะเป็นองค์ประกอบหลักของพลาสมา ลักษณะของก๊าซมีรูปร่างที่ไม่แน่นอนสามารถเปลี่ยนไปตามลักษณะของภาชนะและมีปริมาตรแตกต่างกันตามขนาดของภาชนะที่ใส่ (indefinite shape and indefinite volume) เพราะฉะนั้นดวงดาวอาจจะกลมหรือแบนก็ได้เพราะมีรูปร่างไม่แน่นอน
ทีนี้ลองมาดูว่าดวงดาวที่นักเล่นกล้องใช้กล้อง Nikon P900 ซูมภาพมาให้ดูกับที่นาซ่าทำมาให้ดูมันเหมือนกันไหม
Nikon P900 Stars- Real Stars and Planets vs NASA images. Stars are not what they tell us!
เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วมีคลิปนี้ออกมาและมีเนื้อหาน่าสนใจมาก เป็นคลิปที่นักข่าวสัมภาษณ์ Prof. R. Foster เมื่อปี 1965 เกี่ยวกับดวงจันทร์ โดยอธิบายว่าดวงจันทร์ไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นพลาสมาซึ่งทฤษฎีนี้ได้รับการยืนยันมาแล้วตั้งแต่ปี 1958 นักข่าวถามต่อว่า "แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากโปรเฟสเซอร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง" โปรเฟสเซอร์ฟอสเตอร์ตอบว่า "ถ้าหากดวงจันทร์เป็นพลาสมาจริงก็จะไม่สามารถมีมนุษย์คนใดสามารถไปเยือนดวงจันทร์ได้ การพยายามนำยานลงจอดย่อมล้มเหลว ซึ่งหมายความว่ามวลของดวงจันทร์นั้นน้อย น้อยกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก จึงทำให้มันมีสถานะทางพลังงานน้อยกว่า มวลน้อยกว่า ซึ่งก็หมายความว่าดวงจันทร์ไม่สามารถใช้อธิบายเกี่ยวกับน้ำขึ้น-น้ำลงได้..... และถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าดวงจันทร์เป็นพลาสมาก็จะทำให้ทฤษฎีแรงดึงดูดทั้งหมดล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลและกฎของมันก็ต้องได้รับการกำหนดกันใหม่"
1965 scientist claims the moon is plasma - UNCUT | RetroFocus
1965 scientist claims the moon is plasma, landing on it won’t be possible
------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น