วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น
ก. พัฒนาการของจักรวาลวิทยายุคใหม่
จักรวาลวิทยาที่สำคัญมีอยู่ 2 ระบบ คือ Geocentric และ Heliocentric
1. Geocentric/ระบบศูนย์โลก คือ โลกหยุดนิ่งกับที่ อยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาล มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวโคจรไปรอบโลก...เป็นโมเดลยุคก่อนของอริสโตเติล โทเลมี และไทโคที่ถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้ว โดยในอดีตเราเคยยึดถือโมเดลนี้กันมานานกว่า 1,400 ปี โดยระบบศูนย์โลก/Geocentric ยังแยกออกเป็น 2 แบบ คือ โลกกลม และ โลกแบน
2. Heliocentric/ระบบศูนย์อาทิ
- จากเดิมที่ดวงอาทิตย์อยู่
- ต่อมาเคปเลอร์เสนอว่าดาวเคราะห์
- ปรับแนวแกนโลกให้เอียง 23.4 องศา เพื่ออธิบายการเกิดฤดูกาล / อาทิตย์อ้อมเหนือ-อ้อมใต้
จะเห็นว่าระบบศูนย์อาทิตย์/Heli
- ต่อมาปรากฏการณ์นี้ถูกบิดเบื
- ปัจจุบันเราเชื่อว่าระบบสุริยะเคลื่อนที่ไปรอบๆทางช้างเผือก(230 กม./วินาที) ทางช้างเผือกเคลื่อนที่ไปในอวกาศพร้อมกับคลัสเตอร์ หลายชั้น (กลุ่มกาแลกซี่ประมาณ 20 กาแลกซี่ และไปพร้อมกลุ่มคลัสเตอร์อีก 640 กม./วินาที) เท่ากับระยะทาง 3.24 ล้านกม./ชม. หรือ 2.025 ล้านไมล์/ชม. ไม่เพียงเท่านั้นเอดวิน ฮับเบิล บอกอีกว่าจักรวาลเคลื่อนที่(หรือขยายตัวออกจากจุดระเบิด Big Bang เมื่อ14 พันล้านปีก่อน) ด้วยความเร็ว 68 km/s per megaparsec (ซึ่ง 1 megaparsec = 3.26-3.3 ล้านปีแสง) และมันไม่ได้คงที่ที่ 68 km/s ตลอดเวลา แต่มันมีความเร่ง 68 km/s ในทุกๆ 1 megaparsec (เช่น ถ้าห่างออกไป 2 หน่วย ความเร็วในการขยายจะเพิ่มเป็น 136 km/s เมื่อห่างออกไป 3 หน่วยก็จะเพิ่มเป็น 204 km/s)
ดังนั้นจากที่ดวงอาทิตย์เคยหยุ
แต่แล้วในปี ค.ศ. 1963 ข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโลกอยู่ศูนย์
แม้มีความพยายามตลอด 3 ศตวรรษครึ่งเพียงเพื่อยืนยันว่
หลักจากทฤษฏีต่างๆออกมาเพื่อจะผลักโลกออกจากจุดศูนย์กลางจักรวาลให้จงได้ แต่เพราะการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล/ CMB นี่เองที่ทำให้ Laurence Krauss หนึ่งในนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกจาก Arizona State University ถึงกับต้องพูดยอมรับว่า "...นั่นคงพูดได้เลยว่าเราอยู่ใจกลางจักรวาลอย่างแท้จริง"
ดู : CMB (Cosmic Microwave Background radiation) ที่ยืนยันว่าเราอยู่ศูนย์กลางจักรวาลhttps://www.youtube.com/watch?v=y2AwSIbtv38
ข. จักรวาลวิทยายุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น
“กฎฟิสิกส์ยอมให้โลกเกิดขึ้นได้จากความไม่มี ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อพระเจ้า” Laurence Krauss
"เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"
Stephen Hawking
และแผนการทำให้คนคล้อยตามว่า "พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี" เริ่มต้นจากการบิดเบือนการกำเนิ
ฮอว์กิงเคยกล่าวอีกว่า "ทุกหลักฐานบ่งชี้ว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกที่อธิบายว่า กาแลคซี่อื่นๆก็เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานนี้ก็ตาม แต่เราจะยึดมั่นอยู่บนฐานการเจียมเนื้อเจียมตัว(ไม่ยอมรับในความพิเศษและเฉพาะเจาะจงของโลกใบนี้) เพราะมันจะโดดเด่นมากเกินไปถ้าปรากฏการณ์นี้เห็นได้เฉพาะบนโลก แต่ไม่เห็น ณ จุดอื่นใดในจักรวาล"
ในความเป็นจริงแล้วปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติสามารถอธิบายได้ด้วยจักรวาลทั้งสองระบบอย่างไม่ผิดเพี้ยนซึ่งฮอว์กิงเองก็ยอมรับข้อนี้ "แล้วอะไรที่เป็นจริงระหว่างระบบของโทเลมี(แบบศูนย์โลก ) กับโคเปอร์นิคัส(แบบศูนย์อาทิตย์ )? ถึงแม้ว่าไม่ค่อยมีใครพูดว่า โคเปอร์นิคัสพิสูจน์แล้วว่าโทเลมีผิด แต่นั่นไม่จริงเลย เราสามารถใช้โมเดลไหนก็ได้กับสังเกตการณ์ของชั้นฟ้า โดยสมมุติว่าโลกหยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง) หรืออาทิตย์หยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง)ก็ได้"
ยังมีอีกหลายคนที่กล่าวในทำนองเดียวกัน เช่น Kitty Ferguson, นักวิทยาศาสตร์และนักเขียน "เป็นไปได้ที่จะอธิบายจักรวาลทั้งหมดโดยใช้จุดใดก็ได้เป็นศูนย์กลางที่หยุดนิ่ง ซึ่งถ้าเลือกใช้โลกก็จะได้ผลชัดเจนมาก และไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าการเลือกนั้นผิด แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ และทำให้ไม่มีอะไรโดดเด่นอยู่ตรงศูนย์กลาง หากคุณไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับนัยของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 คุณอาจจะรู้สึกผิดหวังที่จะตระหนักว่าตามแนวคิดของการเคลื่อนที่เชิงสัมพัทธ์ ไม่มีใครเลยสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกเคลื่อนที่"
การกล่าวเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า พวกเขายอมรับว่าโลกหยุดนิ่งอยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เราพิสูจน์ได้ แต่เขาเลือกที่จะนำ "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" มาใช้ เพื่อจะไม่ต้องยอมรับว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษเช่นนั้น ดังนั้นนอกจาก "ระบบศูนย์อาทิตย์" และ "Big Bang" แล้ว "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า "เราอยู่ในจุดพิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล" นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์อี
ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 มีการทดลองมากมายที่ยืนยันว่า “โลกไม่ได้หมุนแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่” และนี่คือ 5 การทดลองโด่งดังที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก
- MICHELSON-MORLEY
- MICHELSON-GALE
- SAGNAC EFFECT
- SAGNAC EFFECT
- AIRY’S FAILURE
- ALLAIS EFFECT
แต่เหตุผลที่เรายอมรับกันว่า "โลกหมุน" นั้นเกิดจากการยอมรับทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอนสไตน์ซึ่งกำลังอธิบาย ว่า “ภายใต้กรอบอ้างอิงเฉื่อยผู้สังเกตที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่จะไม่สามารถทำการทดลองใดๆเพื่อหาการเคลื่อนที่ได้ ” เพียงเพื่อยืนยันว่าโลกหมุนแต่เราไม่สามารถสังเกตและรู้สึกถึงการหมุนได้ และเพราะทฤษฎีนี้นี่เองที่ทำให้ไอนสไตน์ได้รับการยกย่องจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะในความจริงแล้วเขาคือนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่สามารถกอบกู้โลกให้หลุดพ้นจากการต้องยอมรับว่าโลกหยุดนิ่งได้สำเร็จนั่นเอง แต่สิ่งที่คนทั้งโลกลืมไปก็คือ ทฤษฏีสัมพันธภาพของไอนสไตน์มันเป็นเพียง "ทฤษฏี" เท่านั้นไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง"
ดู : "ฉันสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้
ดู : ไอสไตน์ทำให้โลกหมุนได้อย่างไร? (ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่หมุ
นิโคล่า เทสล่าเคยวิจารณ์ทฤษฎีของไอน์สไตน์ไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ช่างเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์และหลอกลวง เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อวิทยาการและสามัญสำนึกของคนยุคก่อน ”
"ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์
มีการลงชื่อไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของไอน์สไตน์จากนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียและเยอรมันกว่า 100 คนในหนังสือ Hundert Autoren Gegen Einstein (One Hundred Authors Against Einstein) และยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้
ดู : ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์
“คุณไม่สามารถพิสูจน์หักล้างระบบศูนย์โลก/ Geocentricได้ คุณทำได้เพียงแค่ผลักไสมันออกจากขอบเขตปรัชญาเท่านั้น ในมุมมองของผมมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ ข้อเท็จจริงที่เรากำลังใช้เงื่อนไขทางปรัญชาในการเลือกโมเดลของเรา ซึ่งมีหลายอย่างที่จักรวาลวิทยายุคใหม่พยายามซุกซ่อนไว้” George F.R. Ellis
จะเห็นว่า ระบบศูนย์โลก/Geocentric เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการยอมรับ พวกเขาจึงสนับสนุนระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric และ Big Bang แล้วต่อมาก็ประดิษฐ์ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาอีก เพื่อปัดโลกออกจากศูนย์กลางจักรวาลซึ่งมันทำให้เราเชื่อว่ามันไม่มีอะไรสลักสำคัญอยู่ตรงใจกลาง เพราะหากคนเราเชื่อว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจะเกิดคำถามต่อว่า มีพลังอำนาจอะไรที่ทำให้โลกเราอยู่ตรงตำแหน่งที่พิเศษเช่นนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การค้นหาว่าเราถูกบังเกิดมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย และไม่ควรใช้ชีวิตไปวันๆตามกระแส และจะทำให้เราต้องยอมรับต่อ Intelligent Design ในที่สุด การยอมรับในระบบศูนย์โลก/Geocentric(ไม่ว่าโลกจะกลมหรือแบนก็ตาม) จึงเป็นการยอมจำนนต่อการมีอยู่ของผู้สร้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนั่นคือนัยที่นักวิทยาศาสตร์อย่างฮอว์กิงต้องการให้เราคล้อยตามดังที่เขาเคยพูดไว้ว่า "เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"
เพราะระบบศูนย์โลก/Geocentric คือสิ่งที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ต่างๆทั้ง ไบเบิล, กุรอาน, Book of Enoch, วิษณุปุราณะ, ไตรภูมิพระร่วง, เฮอร์เมส ธอธ รวมถึงความเชื่อของชนพื้นเมือง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ดิสเครดิตสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความเชื่อที่ล้าหลัง และยกย่องระบบศูนย์อาทิตย์/ Heliocentric(รวมถึง Big Bang ในเวลาต่อมา) ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่นำสมัย ในปี 1881 Friedrich Nietzsche จึงได้แต่งบทประพันธ์ที่มีเนื้อหาว่า "ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา เราได้ตัดขาดจากพระเจ้าและลอยอยู่กลางอวกาศซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเราได้ฆ่าพระเจ้าไปเสียแล้ว" ซึ่งเขาใช้ “พระเจ้าตายแล้ว(God Is Dead)” ในความหมายว่า “ความเจริญทางศิลปวิทยาการที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นได้ทำลายความเป็นไปได้ในการมีอยู่ของพระองค์ไปแล้ว” และเมื่อไม่มีพระเจ้ามนุษย์ก็สามารถตั้งตนขึ้นเป็นพระเจ้าได้เอง ต่อมาในปี 1960 มันถูกนำมาใช้ตั้งชื่อกลุ่มเคลื่อนไหว "พระเจ้าได้ตายไปเสียแล้ว" ( The God Is Dead Movement) ซึ่งทำให้เกิดผู้ที่ละทิ้งศาสนาเดิมของตนเอง รวมถึงเกิดเอทิสท์(ผู้ปฏิเสธพระเจ้า/ Intelligent Design)ขึ้นมากมายหลากหลายแขนงจนถึงทุกวันนี้
หมายเหตุ : สำหรับชาวคริสต์และมุสลิมนั้นมี
1. "ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็น "กฏ" อันเป็นที่รองรับปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งปวง
2. เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวงและอยู่หลังสิ่งทั้งปวง ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีความสิ้นสุด อันมีสภาพที่ไม่รู้จักเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งใดที่เกิดมาทีหลังไกวัลย์ย่อมดับหายไปในไกวัลย์ แต่ไกวัลย์ก็ยังมีสภาพเป็นอย่างเดิม ทั้งก่อนและหลังสิ่งทั้งปวงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งตรงข้ามกับสังขารทั้งปวง ในเมื่อสังขารทั้งปวงเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้านำความยึดมั่นในสังขารทั้งปวงออกไปก็จะพบความสุข
3. พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเกิดขึ้นในโลกกี่ล้านองค์ก็ตาม แต่ "สิ่งนั้น” ก็ยังตั้งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง “สิ่งนั้น” จึงมิใช่พระพุทธเจ้า แต่ผู้ใดมาพบ “สิ่งนั้น” เข้าจะได้นามว่าเป็นพระพุทธเจ้า “สิ่งนั้น” คือ "ไกวัลยธรรม" อันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ตลอดกาล.
2. เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้
3. พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเกิดขึ้
4. "พระเจ้า" ก็ควรหมายถึง "ไกวัลย์" ในฐานะที่เป็นสิ่งตั้งอยู่ตลอดกาลและเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงและสิ่งทั้งปวงก็มาจาก "ไกวัลย์" อาศัยไกวัลย์เพื่อตั้งอยู่ แล้วสิ่งทั้งปวงก็ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งพระเจ้า ฉะนั้น "พระเจ้า" จริงๆแล้วจึงหมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีชื่อเรียกรวมไปว่า "ธรรมธาตุ" แปลว่า "ความมีอยู่แห่งธรรม"
5. "ไกวัลยธรรม" คือสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวอันเต็มเปี่ยมและมีอยู่ทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง นั่นคือมีอยู่ในทุกศาสนา
6. การที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง "ไกวัลย์" ได้ก็เพราะมัวหลงใหลมัวเมาอยู่กับฟองคลื่นแห่งวัฏฏสงสาร อันสำเร็จมาจากการตกจมอยู่ในรสอร่อยทางเนื้อหนัง ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นตัวสร้างความทุกข์ สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น เมื่อมนุษย์สามารถรู้จักและเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะทำให้สามารถแก้ปัญหาแห่งความทุกข์ได้ทุกปัญหา และมีความเป็นมิตรหรือเป็นอันเดียวกับทุกคน เพราะ "ไกวัลยธรรม" เป็นทั้งหมดของทุกสิ่ง
ดู : http://www.buddhadasa.com/kaival/kaival1.html
นี่คือความจำเป็นที่เราต้องศึกษาให้รู้จัก “พระเจ้า” หรือ "ไกวัลยธรรม" เพื่อเข้าถึงความจริงแท้ ซึ่งวิทยาศาสตร์และวิทยาการยุคใหม่กำลังทำให้เราออกห่างจากความจริงนี้
5.
6.
ดู : http://www.buddhadasa.com/
นี่คือความจำเป็นที่เราต้องศึ
---------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2) ระบบ Heliocentric กับลัทธิ Luciferian และ New World Orderhttp://flatearthmatters.blogspot.com/2020/05/72.html