วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

71) วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น

วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น

ก. พัฒนาการของจักรวาลวิทยายุคใหม่ 
จักรวาลวิทยาที่สำคัญมีอยู่ 2 ระบบ คือ Geocentric และ Heliocentric


          1. Geocentric/ระบบศูนย์โลก คือ โลกหยุดนิ่งกับที่ อยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาล มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวโคจรไปรอบโลก...เป็นโมเดลยุคก่อนของอริสโตเติล โทเลมี และไทโคที่ถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้ว โดยในอดีตเราเคยยึดถือโมเดลนี้กันมานานกว่า 1,400 ปี โดยระบบศูนย์โลก/Geocentric ยังแยกออกเป็น 2 แบบ คือ โลกกลม และ โลกแบน


          2. 
Heliocentric/ระบบศูนย์อาทิตย์ คือ ดวงอาทิตย์อยู่ศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งมีโลกและดาวเคราะห์ต่างๆโคจรโดยรอบ...เป็นโมเดลยุคใหม่ที่เรายึดถือกันในปัจจุบัน โดยอารีตาคัสเป็นคนหนึ่งที่กล้าแย้งความคิดของอริสโตเติลว่าเป็นดวงอาทิตย์ต่างหากที่อยู่ศูนย์กลาง แต่ในตอนนั้นยังไม่ถูกยอมรับ ต่อมาโคเปอร์นิคัสนำเสนอโมเดลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1536 ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี ค.ศ. 1543 และเริ่มมีการยอมรับหลังจากนั้น โดยในช่วงแรกที่โคเปอร์นิคัสนำเสนอโมเดลศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทั้งดวงดาวและโลกยังมีวิถีโคจรเป็นวงกลมรอบๆดวงอาทิตย์ แต่โมเดลนี้กลับไม่สอดคล้องกับปรากฏการณ์ต่างๆ  ต่อมาจึงถูกปรับแต่งกันหลายครั้ง เช่น 
         - จากเดิมที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงใจกลางวิถีโคจร แต่มันไม่สอดคล้องกับระยะห่างดวงอาทิตย์ที่สังเกตได้ในช่วงตลอดทั้งปี จึงปรับให้ดวงอาทิตย์อยู่เยื้องศูนย์(เพื่อให้มีฝั่งที่โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และอีกฝั่งที่โลกอยู่ไกลกว่า)

          - ต่อมาเคปเลอร์เสนอว่าดาวเคราะห์ต่างๆโคจรเป็นวงรีโดยดวงอาทิตย์อยู่ที่จุดโฟกัสหนึ่งของวงรี(วงรีมี 2 จุดโฟกัส แต่วงกลมมีเพียงจุดเดียว) และอธิบายด้วยว่าดาวเคราะห์จะมีความเร็วในการโคจรไม่เท่ากัน ขึ้นกับระยะห่างโลกจากดวงอาทิตย์(ยิ่งห่างมาก ยิ่งโคจรช้าลง)


           - ปรับแนวแกนโลกให้เอียง 23.4 องศา เพื่ออธิบายการเกิดฤดูกาล / อาทิตย์อ้อมเหนือ-อ้อมใต้


          - ปรับระยะทางดวงอาทิตย์มายังโลก จาก 3 ล้านไมล์มาเป็น 104 ล้านไมล์และมาสรุป สุดท้ายที่ 93 ล้านไมล์แบบปัจจุบันซึ่งถูกใช้อ้างอิงเป็นหน่วยดาราศาสตร์(Astronomical Unit, AU)เพื่อใช้หาระยะทางดวงดาวอื่นๆ และปรับระยะทางดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะไปพร้อมๆกัน

          จะเห็นว่าระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ไม่ได้เริ่มต้นจากโมเดลที่สมบูรณ์แบบและแม่นยำตั้งแต่แรก แต่ถูกดัดแปลงหลายครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับปรากฎการณ์ต่างๆที่เราสังเกตได้(รวมถึงสอดรับกับทฤษฎีใหม่ๆที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น) จนสุดท้ายโมเดลนี้ดูสมเหตุสมผลสมจริงขึ้นมา แต่แล้วในปี ค.ศ.1929  เมื่อเอดวิน ฮับเบิลค้นพบ Redshift ที่อธิบายว่ากาแลกซี่ต่างๆเคลื่อนตัวออกจากโลกในทุกทิศทางซึ่งปรากฎการณ์นี้กำลังสนับสนุนความถูกต้องของโมเดลศูนย์โลก/Geocentric มันทำให้เขารู้สึกตระหนกจนต้องกล่าวยอมรับว่า ด้วยลักษณะที่ค้นพบนี้หมายความว่าเราได้ครอบครองตำแหน่งที่พิเศษในจักรวาลซึ่งก็คือ Central Earth ตามความเชื่อโบราณ สมมุติฐานนี้ไม่สามารถพิสูจน์หักล้างใดๆได้ มันช่างไม่น่าภิรมณ์เอาเสียเลย แต่เราจะยอมรับว่ามันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ดังนั้นเราจะไม่สนใจกับสิ่งที่ป็นไปได้ และจะต้องหลีกเลี่ยงตำแหน่งที่ไม่น่าพึงใจนี้ในทุกวิธีทาง ดังนั้นเพื่อทำให้มันดูเท่าเทียมเสมอกันและเพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสยดสยองในตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์นี้ เราจะแทนที่ด้วยพื้นผิวโค้งซึ่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่น”



          - ต่อมาปรากฏการณ์นี้ถูกบิดเบือนแล้วนำมาสนับสนุน Big Bang โดยแทนที่ตำแหน่งศูนย์กลางจักรวาลด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้ทุกๆกาแลกซี่ในจักรวาลมีความเท่าเทียมเสมอกัน ดังนั้นจากที่เคยเชื่อว่าดวงอาทิตย์ของเราอยู่ศูนย์กลางจักรวาล มันจึงถูกเปลี่ยนเป็นอยู่ศูนย์กลางระบบสุริยะเท่านั้น


           - ปัจจุบันเราเชื่อว่าระบบสุริยะเคลื่อนที่ไปรอบๆทางช้างเผือก(230 กม./วินาที) ทางช้างเผือกเคลื่อนที่ไปในอวกาศพร้อมกับคลัสเตอร์หลายชั้น (กลุ่มกาแลกซี่ประมาณ 20 กาแลกซี่ และไปพร้อมกลุ่มคลัสเตอร์อีก 640 กม./วินาที) เท่ากับระยะทาง 3.24 ล้านกม./ชม. หรือ 2.025 ล้านไมล์/ชม. ไม่เพียงเท่านั้นเอดวิน ฮับเบิล บอกอีกว่าจักรวาลเคลื่อนที่(หรือขยายตัวออกจากจุดระเบิด Big Bang เมื่อ14 พันล้านปีก่อน) ด้วยความเร็ว 68 km/s per megaparsec (ซึ่ง 1 megaparsec = 3.26-3.3 ล้านปีแสง) และมันไม่ได้คงที่ที่ 68 km/s ตลอดเวลา แต่มันมีความเร่ง 68 km/s ในทุกๆ 1 megaparsec (เช่น ถ้าห่างออกไป 2 หน่วย ความเร็วในการขยายจะเพิ่มเป็น 136 km/s  เมื่อห่างออกไป 3 หน่วยก็จะเพิ่มเป็น 204 km/s)

          ดังนั้นจากที่ดวงอาทิตย์เคยหยุดนิ่งกับที่ตรงศูนย์กลางจักรวาล แต่ในตอนนี้ดวงอาทิตย์(รวมถึงโลกของเราด้วย)กำลังเดินทางเร็วกว่าความเร็วแสง
!!

          แต่แล้วในปี
ค.ศ. 1963 ข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจักรวาลก็กลับมาเคาะประตูพวกเขาอีกครั้งด้วยการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล (Cosmic Microwave Background radiation, CMB)  ซึ่งในช่วงแรกนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่นิยม Big Bang รีบนำมาใช้ยืนยันทฤษฎีว่ามันคือสิ่งที่หลงเหลือจากการเกิด Big Bang  แต่ปี 1978 หลังจากวิเคราะห์รูปแบบแล้วมันกลับสร้างความลำบากใจให้พวกเขา เพราะแทนที่รังสีนี้จะกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วจักรวาลตามที่ทฤษฎีกล่าว มันกลับกระจุกเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างมีแบบแผน ไม่เพียงเท่านั้นรูปแบบของมันยังสอดรับกับระนาบและแนวแกนของโลก สิ่งนี้สร้างความระคายเคืองให้นักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะหาก Big Bang เคยเกิดขึ้นจริงด้วยความบังเอิญตามที่ทฤษฎีกล่าว จักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไม่ควรรับรู้การมีอยู่ของระนาบและแนวแกนของโลกเราเลย

          แม้มีความพยายามตลอด 3 ศตวรรษครึ่งเพียงเพื่อยืนยันว่าโลกไม่ได้อยู่ใจกลางจักรวาล ทั้งด้วยระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทั้งด้วย Big Bang แต่ข้อมูลนี้กำลังบอกว่าพวกเขาคิดผิด พวกเขาจึงส่งดาวเทียมขึ้นไปสำรวจเหนือบรรยากาศโลกทั้งด้วยต่างปฏิบัติการ ต่างวิธีการ ต่างทีม ต่างอุปกรณ์ โดยหวังว่าจะได้ผลลัพท์ที่ต่างออกไป แต่แล้วการส่งไปสำรวจในปี 1990 2001 แม้แต่ปีที่ 2009 กลับให้ผลลัพธ์เช่นเดิมเพียงแค่มีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น



          ปี 2007 มีวารสารทางวิทยาศาสตร์ขึ้นหน้าปกว่า "ทำไมระบบสุริยะของเราถึงมีแกนร่วมกับจักรวาล" และมีบทความลักษณะเดียวกันเรื่อยมาเช่นปี 2016 จนถึงทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังตอบไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร


          หลักจากทฤษฏีต่างๆออกมาเพื่อจะผลักโลกออกจากจุดศูนย์กลางจักรวาลให้จงได้ แต่เพราะการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล/CMB นี่เองที่ทำให้ Laurence Krauss หนึ่งในนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกจาก Arizona State University ถึงกับต้องพูดยอมรับว่า "...นั่นคงพูดได้เลยว่าเราอยู่ใจกลางจักรวาลอย่างแท้จริง"
ดู : CMB (Cosmic Microwave Background radiation) ที่ยืนยันว่าเราอยู่ศูนย์กลางจักรวาลhttps://www.youtube.com/watch?v=y2AwSIbtv38


ข. จักรวาลวิทยายุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น


“กฎฟิสิกส์ยอมให้โลกเกิดขึ้นได้จากความไม่มี ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อพระเจ้า” Laurence Krauss


"เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง  แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"


Stephen Hawking



          และแผนการทำให้คนคล้อยตามว่า "พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี" เริ่มต้นจากการบิดเบือนการกำเนิดโลกและจักรวาลนั่นเอง ทั้งที่มีหลักฐานมากมายจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจักรวาล(แบบGeocentric) แต่ฮอว์กิงกลับเลือกที่จะไม่รับมันเพราะเขาต้องการให้ทุกคนมีความเจียมเนื้อเจียมตัวและไม่คิดว่ามนุษย์ถูกบังเกิดมาอย่างพิเศษบนโลกใบนี้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อทำให้เรายอมรับว่า "โลกใบนี้ไม่จำเป็นต้องถูกบังเกิดจากผู้ทรงสร้าง"

          ฮอว์กิงเคยกล่าวอีกว่า "ทุกหลักฐานบ่งชี้ว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกที่อธิบายว่า กาแลคซี่อื่นๆก็เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานนี้ก็ตาม แต่เราจะยึดมั่นอยู่บนฐานการเจียมเนื้อเจียมตัว(ไม่ยอมรับในความพิเศษและเฉพาะเจาะจงของโลกใบนี้) เพราะมันจะโดดเด่นมากเกินไปถ้าปรากฏการณ์นี้เห็นได้เฉพาะบนโลก แต่ไม่เห็น ณ จุดอื่นใดในจักรวาล"  

          ในความเป็นจริงแล้วปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติสามารถอธิบายได้ด้วยจักรวาลทั้งสองระบบอย่างไม่ผิดเพี้ยนซึ่งฮอว์กิงเองก็ยอมรับข้อนี้ "แล้วอะไรที่เป็นจริงระหว่างระบบของโทเลมี(แบบศูนย์โลก) กับโคเปอร์นิคัส(แบบศูนย์อาทิตย์)? ถึงแม้ว่าไม่ค่อยมีใครพูดว่า โคเปอร์นิคัสพิสูจน์แล้วว่าโทเลมีผิด แต่นั่นไม่จริงเลย เราสามารถใช้โมเดลไหนก็ได้กับสังเกตการณ์ของชั้นฟ้า โดยสมมุติว่าโลกหยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง) หรืออาทิตย์หยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง)ก็ได้"



          ยังมีอีกหลายคนที่กล่าวในทำนองเดียวกัน เช่น Kitty Ferguson, นักวิทยาศาสตร์และนักเขียน "เป็นไปได้ที่จะอธิบายจักรวาลทั้งหมดโดยใช้จุดใดก็ได้เป็นศูนย์กลางที่หยุดนิ่ง ซึ่งถ้าเลือกใช้โลกก็จะได้ผลชัดเจนมาก และไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าการเลือกนั้นผิด แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ และทำให้ไม่มีอะไรโดดเด่นอยู่ตรงศูนย์กลาง หากคุณไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับนัยของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 คุณอาจจะรู้สึกผิดหวังที่จะตระหนักว่าตามแนวคิดของการเคลื่อนที่เชิงสัมพัทธ์ ไม่มีใครเลยสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกเคลื่อนที่"

         การกล่าวเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า พวกเขายอมรับว่าโลกหยุดนิ่งอยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เราพิสูจน์ได้ แต่เขาเลือกที่จะนำ "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" มาใช้ เพื่อจะไม่ต้องยอมรับว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษเช่นนั้น ดังนั้นนอกจาก "ระบบศูนย์อาทิตย์" และ "Big Bang" แล้ว "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า "เราอยู่ในจุดพิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล" นั่นเอง
               
          นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายๆคนที่กล่าวยืนยันว่า "โลกหยุดนิ่ง อยู่ใจกลางจักรวาล" (แบบGeocentric)

           ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 มีการทดลองมากมายที่ยืนยันว่า “โลกไม่ได้หมุนแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่” และนี่คือ 5 การทดลองโด่งดังที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก
               
- MICHELSON-MORLEY
                - MICHELSON-GALE
               
- SAGNAC EFFECT
                - AIRY’S FAILURE
                - ALLAIS EFFECT
               
          แต่เหตุผลที่เรายอมรับกันว่า "โลกหมุน" นั้นเกิดจากการยอมรับทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอนสไตน์ซึ่งกำลังอธิบายว่า “ภายใต้กรอบอ้างอิงเฉื่อยผู้สังเกตที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่จะไม่สามารถทำการทดลองใดๆเพื่อหาการเคลื่อนที่ได้” เพียงเพื่อยืนยันว่าโลกหมุนแต่เราไม่สามารถสังเกตและรู้สึกถึงการหมุนได้  และเพราะทฤษฎีนี้นี่เองที่ทำให้ไอนสไตน์ได้รับการยกย่องจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะในความจริงแล้วเขาคือนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่สามารถกอบกู้โลกให้หลุดพ้นจากการต้องยอมรับว่าโลกหยุดนิ่งได้สำเร็จนั่นเอง  แต่สิ่งที่คนทั้งโลกลืมไปก็คือ ทฤษฏีสัมพันธภาพของไอนสไตน์มันเป็นเพียง "ทฤษฏี" เท่านั้นไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง"

ดู :  
"ฉันสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมาอย่างไร"  บทความจากการบรรยายของไอน์สไตน์ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 1922 โดย Yoshimasa A. Ono https://courses.physics.ucsd.edu/2012/Winter/physics2d/einsteinonrelativity.pdf?fbclid=IwAR1AHGDMRyNZIguk1G4jXN2xi688Ol63XngQdljLDSmjXxFX6ihA3Eb9BqY
ดู : ไอสไตน์ทำให้โลกหมุนได้อย่างไร? (ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่หมุน)

          นิโคล่า เทสล่าเคยวิจารณ์ทฤษฎีของไอน์สไตน์ไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ช่างเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์และหลอกลวง เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อวิทยาการและสามัญสำนึกของคนยุคก่อน

          "
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์เป็นอาภรณ์ทางคณิตศาสตร์ที่ดูงดงามน่าลุ่มหลงและแพรวพราวซะจนทำให้ผู้คนตาบอดจนมองไม่เห็นความผิดพลาดทั้งหลายในนั้น ทฤษฎีนี้มันเหมือนขอทานที่แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีม่วง แล้วคนเขลาต่างยกย่องให้เป็นพระราชา บรรดาผู้ที่อธิบายทฤษฎีนี้ต่างเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่พวกเขาน่าเป็นนักฟิสิกส์เชิงปรัชญามากกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์"  (นิโคลา เทสลา หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ 11 ก.ค. 1935)

          มีการลงชื่อไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของไอน์สไตน์จากนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียและเยอรมันกว่า 100 คนในหนังสือ Hundert Autoren Gegen Einstein (One Hundred Authors Against Einstein) และยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้
ดู : ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์ 

          “คุณไม่สามารถพิสูจน์หักล้างระบบศูนย์โลก/Geocentricได้ คุณทำได้เพียงแค่ผลักไสมันออกจากขอบเขตปรัชญาเท่านั้น ในมุมมองของผมมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ ข้อเท็จจริงที่เรากำลังใช้เงื่อนไขทางปรัญชาในการเลือกโมเดลของเรา ซึ่งมีหลายอย่างที่จักรวาลวิทยายุคใหม่พยายามซุกซ่อนไว้”  George F.R. Ellis  

          จะเห็นว่า ระบบศูนย์โลก/Geocentric เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการยอมรับ พวกเขาจึงสนับสนุนระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric และ Big Bang แล้วต่อมาก็ประดิษฐ์ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาอีก เพื่อปัดโลกออกจากศูนย์กลางจักรวาลซึ่งมันทำให้เราเชื่อว่ามันไม่มีอะไรสลักสำคัญอยู่ตรงใจกลาง เพราะหากคนเราเชื่อว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจะเกิดคำถามต่อว่า มีพลังอำนาจอะไรที่ทำให้โลกเราอยู่ตรงตำแหน่งที่พิเศษเช่นนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การค้นหาว่าเราถูกบังเกิดมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย และไม่ควรใช้ชีวิตไปวันๆตามกระแส และจะทำให้เราต้องยอมรับต่อ Intelligent Design ในที่สุด การยอมรับในระบบศูนย์โลก/Geocentric(ไม่ว่าโลกจะกลมหรือแบนก็ตาม) จึงเป็นการยอมจำนนต่อการมีอยู่ของผู้สร้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนั่นคือนัยที่นักวิทยาศาสตร์อย่างฮอว์กิงต้องการให้เราคล้อยตามดังที่เขาเคยพูดไว้ว่า  "เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"

           เพราะระบบศูนย์โลก/Geocentric คือสิ่งที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ต่างๆทั้งไบเบิล, กุรอาน, Book of Enoch, วิษณุปุราณะ, ไตรภูมิพระร่วง, เฮอร์เมส ธอธ รวมถึงความเชื่อของชนพื้นเมือง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ดิสเครดิตสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความเชื่อที่ล้าหลัง และยกย่องระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric(รวมถึง Big Bang ในเวลาต่อมา) ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่นำสมัย ในปี 1881 Friedrich Nietzsche จึงได้แต่งบทประพันธ์ที่มีเนื้อหาว่า "ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา เราได้ตัดขาดจากพระเจ้าและลอยอยู่กลางอวกาศซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเราได้ฆ่าพระเจ้าไปเสียแล้ว"  ซึ่งเขาใช้ “พระเจ้าตายแล้ว(God Is Dead)”  ในความหมายว่า “ความเจริญทางศิลปวิทยาการที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นได้ทำลายความเป็นไปได้ในการมีอยู่ของพระองค์ไปแล้ว” และเมื่อไม่มีพระเจ้ามนุษย์ก็สามารถตั้งตนขึ้นเป็นพระเจ้าได้เอง ต่อมาในปี 1960 มันถูกนำมาใช้ตั้งชื่อกลุ่มเคลื่อนไหว "พระเจ้าได้ตายไปเสียแล้ว" (The God Is Dead Movement) ซึ่งทำให้เกิดผู้ที่ละทิ้งศาสนาเดิมของตนเอง รวมถึงเกิดเอทิสท์(ผู้ปฏิเสธพระเจ้า/Intelligent Design)ขึ้นมากมายหลากหลายแขนงจนถึงทุกวันนี้  



          หมายเหตุ : สำหรับชาวคริสต์และมุสลิมนั้นมีความชัดเจนในความศรัทธาต่อพระเจ้าอยู่แล้ว  ส่วนชาวพุทธอาจจะพบคำตอบจากพุทธทาสภิกขุเกี่ยวกับไกวัลยธรรม โดยมีความคล้ายคลึงกับพระเจ้าของศาสนาอื่นๆ กล่าวคือ
      1. "ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็น "กฏ" อันเป็นที่รองรับปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งปวง
      2. เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวงและอยู่หลังสิ่งทั้งปวง ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีความสิ้นสุด
 อันมีสภาพที่ไม่รู้จักเกิดแก่เจ็บตาย  สิ่งใดที่เกิดมาทีหลังไกวัลย์ย่อมดับหายไปในไกวัลย์ แต่ไกวัลย์ก็ยังมีสภาพเป็นอย่างเดิม ทั้งก่อนและหลังสิ่งทั้งปวงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งตรงข้ามกับสังขารทั้งปวง ในเมื่อสังขารทั้งปวงเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้านำความยึดมั่นในสังขารทั้งปวงออกไปก็จะพบความสุข
      3.
 พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเกิดขึ้นในโลกกี่ล้านองค์ก็ตาม แต่ "สิ่งนั้น” ก็ยังตั้งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง “สิ่งนั้น” จึงมิใช่พระพุทธเจ้า แต่ผู้ใดมาพบ “สิ่งนั้น” เข้าจะได้นามว่าเป็นพระพุทธเจ้า “สิ่งนั้น” คือ "ไกวัลยธรรม" อันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ตลอดกาล.
      4.  "พระเจ้า" ก็ควรหมายถึง "ไกวัลย์" ในฐานะที่เป็นสิ่งตั้งอยู่ตลอดกาลและเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงและสิ่งทั้งปวงก็มาจาก "ไกวัลย์" อาศัยไกวัลย์เพื่อตั้งอยู่ แล้วสิ่งทั้งปวงก็ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งพระเจ้า ฉะนั้น "พระเจ้า" จริงๆแล้วจึงหมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีชื่อเรียกรวมไปว่า "ธรรมธาตุ" แปลว่า "ความมีอยู่แห่งธรรม"
      5.
"ไกวัลยธรรม" คือสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวอันเต็มเปี่ยมและมีอยู่ทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง นั่นคือมีอยู่ในทุกศาสนา
      6.
การที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง "ไกวัลย์" ได้ก็เพราะมัวหลงใหลมัวเมาอยู่กับฟองคลื่นแห่งวัฏฏสงสาร อันสำเร็จมาจากการตกจมอยู่ในรสอร่อยทางเนื้อหนัง ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นตัวสร้างความทุกข์ สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น เมื่อมนุษย์สามารถรู้จักและเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะทำให้สามารถแก้ปัญหาแห่งความทุกข์ได้ทุกปัญหา และมีความเป็นมิตรหรือเป็นอันเดียวกับทุกคน เพราะ "ไกวัลยธรรม" เป็นทั้งหมดของทุกสิ่ง
ดู
: http://www.buddhadasa.com/kaival/kaival1.html
           นี่คือความจำเป็นที่เราต้องศึกษาให้รู้จัก “พระเจ้า” หรือ "ไกวัลยธรรม"  เพื่อเข้าถึงความจริงแท้ ซึ่งวิทยาศาสตร์และวิทยาการยุคใหม่กำลังทำให้เราออกห่างจากความจริงนี้ 



---------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2) ระบบ Heliocentric กับลัทธิ​ Lucifer​ian และ New​ World​ Order​
http://flatearthmatters.blogspot.com/2020/05/72.html

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

70) ว่าด้วยเรื่องฟลูออไรด์ สารปรอท และวัคซีน

ข้อมูลจากบทความนี้แปลเฉพาะตรงที่สำคัญนะ
(ย่อหน้าแรก)



25 ก.ค. 2012 - เป็นเวลาหลายปีที่ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ว่าฟลูออไรด์ในน้ำดื่มจะเป็นพิษต่อการพัฒนาการสมองของมนุษย์ เรารู้กันว่าระดับฟลูออไรด์ที่สูงมากเป็นพิษต่อระบบประสาทในผู้ใหญ่ และมีผลกระทบในทางลบในด้านความจำและการเรียนรู้ในการศึกษาด้วยหนูทดลอง แต่มีงานวิจัยน้อยมากเกี่ยวกับสารนี้ในผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองในเด็ก ในงานวิจัยแบบ meta-analysis (การวิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธีเชิงปริมาณ) โดยนักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาวาร์ด (Harvard School of Public Health) และมหาวิทยาลัยการแพทย์จีน ในเมือง Shenyang ได้ทำการศึกษางานวิจัยทั้งหมด 27 ชิ้น ซึ่งพบข้อบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าฟลูออไรด์อาจมีผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก จากการค้นพบนี้ ผู้เขียนได้กล่าวว่าความเสี่ยงนี้ไม่ควรถูกละเลยเพิกเฉย และควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อพัฒนาการทางสมองให้มากขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ออนไลน์ใน Environmental Health Perspectives เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2012 งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาแบบทบทวนวรรณกรรม (หมายถึงเอาผลลัพธ์ของงานวิจัยอื่น ๆ มาวิเคราะห์รวมกัน ไม่ได้ลงไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง) และไม่เคยมีการศึกษาวิจัยการใช้ฟลูออไรด์กับมนุษยด้วยวิธีแบบนี้มาก่อนในสหรัฐอเมริกา
ผู้วิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับเด็กที่ได้รับฟลูออไรด์จากน้ำดื่มในประเทศจีนด้วยการวัดระดับ IQ กับเด็กนักเรียนจีนมากกว่า 8,000 คน และจากงานวิจัยทั้งหมด (ยกเว้น 1 ชิ้น) ที่บ่งชี้ว่าระดับความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในน้ำมีผลกระทบในทางลบต่อการพัฒนาสติปัญญาของเด็ก

ในรายงานได้เปิดเผยค่าเฉลี่ยของการสูญเสีย IQ ที่เป็นค่าระดับมาตรฐานอยู่ที่ 0.45 ซึ่งจะเทียบเท่ากับระดับคะแนน IQ ประมาณ 7 คะแนนสำหรับการค่าคะแนน IQ ที่ใช้โดยทั่วไปโดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 15 ในงานวิจัยบางชิ้นยังระบุว่าการที่เด็กได้รับฟลูออไรด์เพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียวก็อาจเป็นพิษต่อสมองได้ แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มเด็กที่อยู่ในพื้นที่ที่มีระดับความเข้มข้นของฟลูออไรด์สูงมีค่าคะแนน IQ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กที่อยู่ในพื้นที่ที่มีระดับความเข้มข้นของฟลูออไรด์ต่ำกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ กลุ่มเด็กที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้มีอายุจนถึง 14 ปี แต่ผู้วิจัยก็มีข้อสงสัยว่าผลกระทบของสารพิษต่อพัฒนาการทางสมองน่าจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว และส่งผลทำให้สมองไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้อย่างเต็มที่จากการได้รับพิษดังกล่าว
"ฟลูออไรด์ดูเหมือนจะเป็นตัวดูดซึมสารปรอทและสารพิษอื่น ๆ ที่เป็นพิษต่อสารเคมีในสมอง" Grandjean กล่าว "ผลกระทบของสารพิษแต่ละชนิดอาจจะดูเล็กน้อย แต่ระดับความเสียหายในระดับประชากรนั้นร้ายแรง โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่เป็นพลังสมองของคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของเราทุกคน"

ผู้วิจัย
- Philippe Grandjean ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม จากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาวาร์ด
- Anna Choi, นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม จากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาวาร์ด

-----------------------------------------------------------------



บทความภาษาไทยเกี่ยวกับงานวิจัยของฟลูออไรด์กับผลกระทบด้านสมอง ในนิตยสาร Way Magazine

----------------------------------------------

คลิปนี้เป็นการพิจารณาคดีรัฐสภาในวันที่ 8 ก.ย. 2004 ระหว่าง FDA และ CDC ที่สมาชิกสภากำลังสอบถามตัวแทนจาก FDA ว่าเหตุใดถึงมีการผสมสารปรอทลงในวัคซีน แถมยังไม่มีการศึกษาผลกระทบของมันมาตั้งแต่ปี 1929

Mercury Thimerosal in Vaccines Congressional Hearing with CDC

ข้อมูลในรายละเอียดของคลิปเขียนไว้ว่า
มีงานศึกษาเพียงชิ้นเดียวในปี 1929 โดยบริษัท Eli Lilly and Company ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิบัตร Thimerosal (สารปรอท) พวกเขาทำการทดสอบสารปรอทกับผู้ป่วย 22 รายที่มีอาการไขสันหลังอักเสบ และผู้ป่วยทั้ง 22 รายทั้งหมดเสียชีวิต ข้อมูลจาก PubMed -  ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ, 2548

--------------------------------------
คลิปผลกระทบร้ายแรงจากการปล่อยสารพิษปรอทลงอ่าวโดยโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น เผยแพร่คลิปโดย สถาบันการแพทย์ช่องปากและพิษวิทยานานาชาติ

The devastating effects of mercury poisoning that occurred in Minamata Japan
https://youtu.be/MSKdkssJ6I0

----------------------------------------

ฝรั่งมักจะโพสคลิปนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่ออลูมินัมเจอกับสารปรอทมันมีปฎิกริยาที่น่ากลัวมาก และไม่ปลอดภัยกับร่างกายแน่นอน ซึ่งแอดก็ไปค้นคว้าเพิ่มเติมก็พอจะเข้าใจว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการนำพาสารปรอทไปสู่สมองได้ (อย่างที่ Philippe Grandjean กล่าวไว้ในบทความด้านบน) และ Amalgam ที่เป็นวัสดุอุดฟันสีเงินที่ทันตแพทย์ใช้ก็คืออลูมินัม+สารปรอทอย่างที่ในคลิปนี้อธิบาย


Aluminum and Mercury

-------------------------------------------------


"The Facts About Amalgam, Mercury and Fluoride" [Holistic Dentist Brisbane]

จากคลิปนี้ทันตแพทย์ Dr. Rachel จากประเทศออสเตรเลียอธิบายถึงการใช้ฟลูออไรด์ในการทำฟันว่ามันมีผลอย่างไรบ้าง และคุณหมอบอกว่าสิ่งที่คุณหมอถูกสอนมานั้นผิดหมด ที่สอนกันว่าฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุ ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันการเกิดหินปูน และอื่น ๆ คุณหมอบอกว่าเรื่องที่สอนกันในหลักสูตรทันตกรรมแทบจะผิดทั้งหมด อย่างเช่นว่า สารปรอทที่อยู่ในวัสดุอุดฟันมันสามารถรั่วไหลออกมาได้ ฟลูออไรด์ทำให้แบคทีเรียในช่องปากเราป่วย และมันก็ทำให้เราป่วยด้วยเหมือนกัน ถ้าเราฆ่าแบคทีเรียตัวที่ดีในช่องปากมันก็จะทำให้แบคทีเรียตัวร้ายเจริญเติบโต เจ้าแบคทีเรียตัวร้ายก็คือสาเหตุของโรคเกี่ยวกับเหงือก เราสามารถฆ่ามันได้ด้วยการใช้ออกซิเจน หรือมีวิธีอื่นที่จะไม่ทำอันตรายกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือการเป็นพิษกับร่างกายในเรื่องของการทำทันตกรรม ไม่ใช่แต่สนใจเฉพาะเรื่องในเชิงการฝีมือ หรือเฉพาะการจัดการเท่านั้น เราควรสนใจเรื่องผลข้างเคียงทางการแพทย์ของมันด้วยที่เราควรระวัง

(นาทีที่ 7.05)
ในการทำฟันเรายังใช้และสอนเด็กรุ่นใหม่ให้ใช้ Amalgam (หมายถึงวัสดุอุดฟัน) ถึงแม้เราจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีสารปรอทและสารปรอทมันสามารถรั่วไหลออกจากที่อุดฟันเข้าไปในร่างกาย เราต่างก็รู้ว่าสารปรอทเป็นพิษและมีพิษสูงมาก มันเป็นโลหะหนักที่ไม่ปลอดภัยสำหรับร่างกาย แล้วทำไมพวกเราทันตแพทย์ถึงต้องใช้มันล่ะ ทำไมเราถึงบอกว่ามันปลอดภัยกับคนไข้ของเรา และสาเหตุที่เรายังใช้มันอยู่เพราะเราหลอกตัวเองด้วยการเรียกมันว่า silver fillings (วัสดุอุดฟันสีเงิน) แล้วทำไมเราไม่เรียกมันตามที่มันเป็นก็คือ Mercury fillings (วัสดุอุดฟันสารปรอท)

(นาทีที่ 14.06)
คุณหมอพูดถึง American Dental Association ที่เป็นสมาชิกใน CDC (Centers for Disease Control หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา) เกี่ยวกับด้านทันตกรรมอยู่ 35 คน บอกว่าพวกเขามีทางออกสำหรับการป้องกันฟันผุด้วยการเติมสาร Silicon Fluoride ลงในน้ำประปา ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีผลอะไรกับสุขภาพในช่องปากเลย และมันทำลายสารเคลือบฟัน และทำให้ฟันเป็นดวง ๆ ที่เรียกว่า fluorosis ในความเห็นของหมอบอกว่าโปรแกรมนี้มันหลอกลวง มันเป็นโปรเจ็คที่ได้รับทุนสนับสนุนประจำปีให้กับบริษัทผลิตน้ำโดยที่พวกเขาถูกบอกว่ามันเป็นทางเดียวที่จะป้องกันฟันผุได้ แต่ฉันขอบอกอีกครั้งนึงว่าสิ่งที่เราถูกสอนกันมามันผิด แต่คุณหมอต่างก็กลัวที่จะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม (ก่อนหน้านี้นาทีที่ 13.20 คุณหมอพูดเกี่ยวกับวิทยาลัยทันตกรรม แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค บอกว่าทางสาขาพยายามที่จะเลิกสอนการใช้วัสดุสารปรอทในการอุดฟัน แต่ก็โดน American Dental Association ขู่ว่าจะถอดถอนใบรับรองหากพวกเขาเลิกสอนให้ใช้สารปรอทอุดฟัน)

------------------------------------------------

เมื่อเร็ว ๆ นี้ในต่างประเทศมีข่าวว่าพบสารโลหะหนักในอาหารเด็ก จากการศึกษาอาหารตัวอย่าง 68 รายการ พบว่ามีสารตะกั่ว สารหนู แคดเมียม และสารปรอท ซึ่งมีผลทำให้การพัฒนาสมองของเด็กเสียหาย 

Toxic metals found in baby food, report says
https://youtu.be/RRtneD3u6fo

อาหารเด็กจากแหล่งผลิตใหญ่ ๆ 68 รายการได้ถูกนำมาตรวจสอบและพบว่า 95% มีสารตะกั่ว 73% มีสารหนู 75% มีแคดเมียม และ 32% มีสารปรอท ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการด้านสมองของเด็ก
--------------------------------------------------------

69) ฐานปล่อยจรวดของ NASA ที่แหลม Cape Canaveral และความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพการปล่อยจรวดของ NASA / Space X / และของจีน เครดิตจาก pinterest + google สงสัยว่าทำไมจรวดมันต้องโค้งลง?? เหตุผลว่า "เพราะโลกหมุน" "เพราะเป็นวิถีโคจรของยาน" "เพราะต้องส่งความเร็วให้พ้นแรงดึงดูดของโลก" ฯลฯ



 







ฐานปล่อยจรวดของ NASA มีชื่อเรียกว่า Cape Canaveral Air Force Station (CCAFS) อยู่ที่แหลม Cape Canaveral ในรัฐฟลอริด้า เป็นพื้นที่ชายฝั่งอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก  มีขนาดพื้นที่ 1,325 เอเคอร์ (3,352 ไร่)




    

 

สหรัฐใช้ CCAFS เป็นฐานทดสอบการปล่อยจรวดมิสไซร์มาตั้งแต่ปี 1949 ในสมัยประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน 

   

 


ฐานยิงจรวด CCAFS แห่งนี้เป็นที่ปล่อยยานอวกาศของทั้ง NASA และ Space X
(ภาพจาก pinterest และ google)


 

 
 

 



   บริเวณชายฝั่งด้านหน้าของ CCAFS ที่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นคือบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อยู่ห่างออกไปประมาณ 1,580 กม.


ตำนานลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีมากมายตั้งแต่ข่าวที่เรือหาย เครื่องบินหาย เข็มทิศมีการหมุนแปลก ๆ ใช้การไม่ได้ หรือแม้กระทั่งข่าวการเจอ UFO ฟังดูน่ากลัว ไม่น่าเข้าไปใกล้ เป็นดินแดนอาถรรพ์และฝรั่งเรียกบริเวณนี้ว่าสามเหลี่ยมปีศาจหรือ Devil's Triangle



นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าข้างใต้พื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีภูเขาไฟลูกใหญ่ที่มีแมกม่าจำนวนมาก แมกม่ามีองค์ประกอบของเหล็กจึงทำให้มีการส่งคลื่นรบกวนในการใช้เข็มทิศบอกทิศทาง

What Makes Compasses Go Haywire In The Bermuda Triangle?

เบอร์มิวด้าถูกค้นพบครั้งแรกช่วงคริศตศักราช 1500 โดยนักเดินเรือชาวสเปน Juan de Bermúdez แต่ก็ยังไม่มีการตั้งถิ่นฐานใด ๆ จากชาวยุโรปผิวขาว จนกระทั่งปี 1609 มีเรือ Sea Venture จากประเทศอังกฤษมาจมใกล้ ๆ ชายฝั่ง ผ่านไป 3 ปี เบอร์มิวด้าก็กลายเป็นดินแดนแห่งโพ้นทะเล (British Overseas Territory) ของสหราชอาณาจักรอังกฤษมาจวบจนปัจจุบัน

Royal Tour: First Scenes (1953)


ต่อมามีการย้ายถิ่นฐานของชาวยุโรปผิวขาวเข้ามาบนเกาะ และได้นำทาสชาวแอฟริกันเข้ามาใช้แรงงานในการดำน้ำเพื่อเก็บหอยมุกจำนวนมาก




เบอร์มิวด้ามีกองกำลังทหาร The Bermuda Garrison ของอังกฤษที่ประจำการระหว่างปี 1701 - 1957 

British Garrison In Bermuda (1954)


บนหมู่เกาะเบอร์มิวด้าก็มีฐานทัพของสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นกัน

 
ประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล 

ในฐานทัพอากาศของสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า Kindley Air Force บนเกาะเบอร์มิวด้า เมื่อปี 1953



เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2012 NASA ได้ทำสนธิสัญญากับ Bermuda เพื่อขอตั้งหน่วยเคลื่อนที่เพื่อติดตามสัญญาณในเบอร์มิวด้า (Mobile tracking station)

Derrick Burgess Nasa Bermuda Agreement March 7 2012

ในสนธิสัญญาบอกไว้ว่าจะมีการติดตั้งเรดาร์ และตรงจุดนี้ก็จะเป็นศูนย์ออกคำสั่งและควบคุมพื้นที่ในเบอร์มิวด้า  มีการส่งบุคลากรของนาซ่ามาประจำที่หน่วยนี้ที่อยู่บนเกาะ Cooper's Island และทุกครั้งที่มีการยิงจรวดขึ้นไปในอวกาศก็จะมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 นาย ออกไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเพื่อติดตามสัญญาณ มีการปฏิบัติการตามระเบียบ และแพ็คระบบทุกอย่างส่งกลับไปที่ศูนย์ใหญ่ที่ NASA's Wallops Flight Facility


คลิปนี้มีภาพการกู้ซากชิ้นส่วนที่จรวดปล่อยทิ้งก่อนออกไปสู่อวกาศ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือซากบางส่วน หรือเป็นชิ้นส่วนของจรวดทั้งหมด แต่ที่แน่ ๆ มันมีร่มชูชีพติดอยู่ด้วย

Forbidden Journey Inside the Devil’s Triangle Where Nasa Rockets Go


 
บนเรือปฏิบัติการก็มีการรับสัญญาณโทรทัศน์ และสามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ได้ตามปกติ


เมื่อมีการปล่อยจรวดหน่วยติดตามก็จะคอยตรวจจับสัญญาณเพื่อตามไปเก็บซากที่ถูกปล่อยลงมา



 
ซากชิ้นส่วนของจรวดที่ส่งขึ้นไป


 
มีสายของร่มชูชีพติดอยู่

ชิ้นส่วนทุกอย่างที่เจอก็จะถูกแพ็คส่งกลับทางเรือ

ส่วนในคลิปนี้มีการค้นคว้าเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งจะว่าไปมันก็คือทริคอย่างนึงที่ใช้ได้ผลดีมาก ด้วยการปล่อยข่าวความลึกลับต่าง ๆ การค้นพบยาน UFO อะไรพวกนี้ก็เป็นการหันเหความสนใจได้ดี


Cape Canaveral 1st Rocket & Bermuda Triangle [Level Earth Explorer, Adam i Fe, GLOBEBUSTERS]

ครั้งแรกที่สหรัฐใช้ฐาน Cape Canaveral เป็นสถานที่ทดสอบการยิงจรวดมิสไซล์ V-2 (ตอนนั้นยังไม่มี NASA) เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 1950 

 

และเมื่อไปดูข้อมูลใน Wikipedia มีบอกว่าต้นกำเนิดข่าวแปลก ๆ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็เริ่มมีครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 1950 มีข่าวออกมาว่ามีเรือหาย เครื่องบินหาย การทำงานที่ผิดปกติของเข็มทิศอะไรต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยออกมาเรื่อย ๆ




ข่าวนี้บอกว่า มีเรือสินค้าชื่อว่า The Sandra ขนาด 350 ฟุตพร้อมลูกเรือ 12 คน ออกจากท่าเรือในไมอามี่เพื่อไปซาวานน่า บนเรือบรรทุกยาฆ่าแมลงที่จะถูกนำไปใช้ที่เปอร์โต คาเบลโล ประเทศเวเนซูเอลา หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ภาพประกอบที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรือบรรทุกสินค้าและเครื่องบินที่หายสาบสูญ
ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นหายไป ณ จุดใดบ้าง


 
 นิยายและภาพยนตร์ที่ขายความลึกลับน่าพิศวงของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ถูกผลิตออกมาเรื่อย ๆ

สารคดีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (ภาษาไทย)
สารคดี ปมเหนือธรรมชาติ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า HD
https://youtu.be/6txs7SJvhjc

ทะเลสวย ๆ ที่เกาะเบอร์มิวด้า
Bermuda Relaxation Drone 4Khttps://youtu.be/ywsfuqzdFHg

-----------------------------------------------------------