วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2562

59) การผูกขาดธุรกิจน้ำมัน ยารักษาโรค และการแพทย์ ของตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์

ตระกูล Rockefeller ก่อตั้งการแพทย์สมัยใหม่และทำลายการรักษาแบบธรรมชาติได้อย่างไร - แปลจากบทความโดย คริส คานธาน (20 ต.ค. 2015)

ผู้คนสมัยนี้อาจจะมองคุณว่าเป็นคนประหลาดถ้าคุณพูดเกี่ยวกับการใช้พืชในการรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ นั่นแหละ มันมีทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้องกับระบบการแพทย์สมัยใหม่ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่นายจอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์ (1839 - 1937) เจ้าสัวแห่งวงการน้ำมัน จอมโจรมหาเศรษฐีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ใช้ทฤษฎีการผูกขาดมาตั้งแต่เกิด

ช่วงเปลี่ยนยุคเข้าศตวรรษที่ 20 เขาได้ครอบครองโรงกลั่นน้ำมันในอเมริกามากถึง 90% ผ่านบริษัทน้ำมันของเขาเองคือบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ซึ่งภายหลังต่อมาได้แตกแขนงออกเป็นเชฟรอน เอ๊กซอน โมบิล และบริษัทอื่น ๆ
ในช่วงเดียวกันนั้นเองราว ๆ ปี 1900 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ "สารปิโตรเคมี" ที่ทำให้สร้างสารเคมีได้ทุกประเภทจากน้ำมันยกตัวอย่างเช่น พลาสติก หรือที่เรียกว่า เบ็กไลท์ (Backlite) ถูกผลิตขึ้นจากน้ำมันในปี 1907 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิตามินต่าง ๆ และคาดเดาว่าผลิตภัณฑ์ยารักษาโรคสามารถผลิตได้จากน้ำมัน และนี่เป็นโอกาสทองของร็อคกี้เฟลเลอร์ผู้ที่เห็นหนทางในการผูกขาดน้ำมัน สารเคมี และธุรกิจการแพทย์ในเวลาเดียวกัน

เรื่องที่ดีที่สุดของปิโตรเคมิคอลคือทุกสิ่งสามารถนำมาจดสิทธิบัตรได้และสามารถขายได้ในราคาสูง แต่ก็มีปัญหาอยู่เรื่องนึงสำหรับแผนการของร็อคกี้เฟลเลอร์สำหรับธุรกิจการแพทย์ คือในช่วงเวลานั้นการใช้ยาสมุนไพรได้รับความนิยมมากในอเมริกา แพทย์กว่าครึ่งนึงและมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ในอเมริกาทำการรักษาโรคด้วยวิธีองค์รวม (holistic medicine) โดยใช้องค์ความรู้จากยุโรปและชนพื้นเมืองอเมริกัน 

ร็อคกี้เฟลเลอร์ นักผูกขาด ต้องพยายามหาทางกำจัดศัตรูตัวฉกาจนี้ออกไปให้ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีการคลาสสิคคือ สร้างปัญหา - ทำให้ผู้คนแตกตื่นตกใจ - และเสนอหนทางแก้ไข (problem-reaction-solution) นั่นคือการสร้างสถานการณ์ให้เกิดปัญหาทำให้คนตื่นกลัวและนำเสนอหนทางแก้ไข (ตามที่วางแผนไว้แล้ว) (เหมือนกับกรณีการสร้างการก่อการร้ายแล้วตามมาด้วยพระราชบัญญัติรักชาติ (Patriot Act)

เขาได้ไปพบเพื่อนสนิทของเขา แอนดรูว คาร์เนกี้ ซึ่งร่ำรวยมาจากการผูกขาดธุรกิจค้าเหล็ก และเป็นผู้คิดแผนการด้วยการใช้มูลนิธิอันทรงเกียรติคือมูลนิธิคาร์เนกี้ พวกเขาได้ส่งชายผู้หนึ่ง อับราฮัม แฟลกซ์เนอร์ ให้เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อทำรายงานเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทางการแพทย์และโรงพยาบาลทั้งหมด 

สิ่งนี้นำไปสู่ "รายงานของแฟลกซ์เนอร์" ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการแพทย์สมัยใหม่ตามที่เรารู้กัน คงไม่ต้องบอกว่ารายงานฉบับนั้นกล่าวถึงความจำเป็นในการปรับปรุงและการรวมศูนย์ทางการแพทย์ และจากรายงานฉบับนี้เองครึ่งหนึ่งของวิทยาลัยทางการแพทย์ทั้งหมดถูกปิดลงในไม่ช้า

วิธีการใช้ธรรมชาติบำบัดและยาสมุนไพรถูกปลอมแปลงและทำให้กลายเป็นเรื่องเลวร้าย สิ่งเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ร็อคกี้เฟลเลอร์บริจาคเงินกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ให้กับมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และก่อตั้งกลุ่มแนวร่วมเพื่อการกุศลที่เรียกว่า "คณะกรรมการการศึกษาทั่วไป" (GEB) ซึ่งเป็นวิธีการใช้เหยื่อล่อที่คลาสสิคมาก (carrot and stick approach หมายถึงมาตรการที่ให้รางวัลเมื่อทำดีและลงโทษเมื่อทำผิด เพื่อควบคุมให้มีความประพฤติให้เป็นไปในทางที่ต้องการ)

ในระยะเวลาไม่นาน มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ต่างก็เข้าร่วมและรวมเป็นเนื้อเดียวกัน นักศึกษาแพทย์ทุกคนต่างศึกษาเรื่องเดียวกัน และการใช้ยารักษาโรคก็มาจากยาที่จดสิทธิบัตรเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ได้รับเงินอุดหนุนจำนวนมากเพื่อทำการศึกษาว่าพืชสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้อย่างไร แต่เป้าหมายของพวกเขาคือการระบุให้ได้ว่าสารเคมีชนิดใดในพืชที่มีประสิทธิภาพแล้วจึงสร้างสารเคมีที่คล้ายกันขึ้นมาในห้องปฏิบัติการ แต่จะได้ออกมาไม่เหมือนกัน ซึ่งนั่นจะทำให้สามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้

การใช้ยารักษาโรคจึงกลายเป็นมนต์ขลังสำหรับการแพทย์สมัยใหม่ แล้วคุณคิดว่าสองพี่น้อง Koch เป็นคนชั่วร้ายงั้นเหรอ?

100 ปีต่อมา เรามีหมอที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประโยชน์ของการโภชนาการหรือการใช้สมุนไพร หรือการดูแลรักษาแบบองค์รวม เราได้สังคมที่กลายเป็นทาสของบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ประเทศอเมริกาใช้เงินไปกว่า 15% ของ GDP เพื่อโครงการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะเรียกกว่าการดูแลเพื่อให้ป่วยมากกว่า เพราะมันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การดูแล แต่เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นการสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่มาเรื่อย ๆ ไม่มีการรักษามะเร็ง เบาหวาน ออทิสซึ่ม หอบหืด หรือแม้กระทั่งไข้หวัดใหญ่

แล้วการดูแลรักษาจริง ๆ มีบ้างไหม? ระบบนี้ถูกออกแบบโดยคนรวยที่มีอิทธิพลทางการเมืองร่วมมือกับผู้ที่มีอำนาจ ไม่ใช่ระบบที่มาจากแพทย์

สำหรับโรคมะเร็งน่ะหรือ อ้อ ใช่ซิ สมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกาก็ก่อตั้งโดยร็อคกี้เฟลเลอร์ในปี 1913 ไม่ใช่ใครอื่นหรอก

และเดือนนี้คือการกระตุ้นเตือนเรื่องมะเร็งเต้านม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ต้องเห็นคนถูกล้างสมองเกี่ยวกับการใช้เคมีบำบัด การฉายรังสี และการผ่าตัด ซึ่งจะเขียนต่อในบทความชิ้นถัดไป และนี่คือคำพูดของจอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์เกี่ยวกับอเมริกา 

"I don't want a nation of thinkers. I want a nation of workers."
"ผมไม่ต้องการชาติแห่งนักคิด แต่ผมต้องการชาติแห่งผู้ใช้แรงงาน (ทาส)"

บทความเผยแพร่จาก https://worldaffairs.blog/2015/10/20/how-rockefeller-founded-modern-medicine-and-killed-natural-cures/


  
หนังสือพิมพ์ปี 1927 พาดหัวข่าวเศรษฐีพันล้านซื้อประเทศสหรัฐอเมริกาจากเศรษฐีร้อยล้าน อนาคตของชาติอยู่ในมือผู้มั่งคั่งทั้งหลาย ผู้ที่จ่ายเงินซื้อสหรัฐอเมริกามี 5 ตระกูลใหญ่คือ เดอะ รอธส์ไชลด์ ร็อคกี้เฟลเลอร์ 
ดูปองท์ แฮริแมน และวอร์เบิร์ก


สวัสดี ผมชื่อจอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์
ผมช่วยก่อตั้งอุตสาหกรรมยา ทำกัญชาให้ผิดกฎหมาย ปล้นระบบการศึกษาของชาติ ร่วมก่อตั้งระบบธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กับเจพี มอร์แกน และตระกูลรอธส์ไชลด์ ให้กับสนับสนุน UN และช่วยก่อตั้ง Council of Foreign Relations (CFR คือองค์กรที่พวกยิวไซออนิสต์ก่อตั้งขึ้น) พวกคุณจะถูกสอนว่าผมคือฮีโร่ในการทำธุรกิจแต่ที่จริงแล้วผมคือศัตรูตัวฉกาจของประชาชนชาวอเมริกัน


"I don't want a nation of thinkers. I want a nation of workers."
"ผมไม่ต้องการชาติแห่งนักคิด แต่ผมต้องการชาติแห่งผู้ใช้แรงงาน (ทาส)" - จอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์ ก่อตั้ง
"คณะกรรมการการศึกษาทั่วไป" (GEB) ในปี 1903 จากการใช้เงินในกองทุนร็อคกี้เฟลเลอร์ 

"พวกเราใกล้จะถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลกแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลที่เราต้องการต่อไปคือวิกฤตสำคัญที่เหมาะสมและประเทศต่าง ๆ จะยอมรับการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order - NWO) - เดวิด ร็อคกี้เฟลเลอร์



เรื่องการจัดระเบียบโลกใหม่เป็นแค่ทฤษฎียังงั้นหรือ?? ลองถามคนพวกนี้ดูซิ


ใช้ยามากเกินไปและไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเขาต้องการให้เราเป็น


 "ประเทศของเรามีแผนการที่จะทำให้เราทุกคนตกเป็นทาส ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ๆ ก่อนที่ผมจะหมดตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ ผมตั้งใจจะเปิดโปงแผนการนี้ให้ได้" - ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ กล่าวไว้ 7 วัน
ก่อนการถูกลอบสังหาร



ตระกูลผู้มีอิทธิพลในสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่า กลุ่มอีลิท (elite)



สวัสดีชาวโลก
ผมคือเจค๊อป รอธส์ไชลด์ ตระกูลของผมมีมูลค่า 500 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา พวกเราเป็นเจ้าของธนาคารกลางเกือบทุกแห่งในโลก พวกเราให้การสนับสนุนทั้งสองฝ่ายในการเกิดสงครามทุกครั้งมาตั้งแต่ยุคนโปเลียน พวกเราเป็นเจ้าของข่าว เจ้าของสื่อ เจ้าของน้ำมัน และเจ้าของรัฐบาลของพวกคุณ



ตอนแรกพวกเขาก็สร้างปัญหาให้เกิด แล้วก็ขายทางแก้ให้กับคุณ


บริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ แตกแขนงออกเป็นหลายบริษัทตามนี้



ภาพการ์ตูนล้อเลียนที่เปรียบเทียบ บริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ว่าเป็นมือปลาหมึก 
คือเข้าไปมีส่วนในการทำธุรกิจทุกประเภท


ลักษณะการทำธุรกิจแบบ pyramid scheme คือควบคุมจากบนลงล่าง และประชาชนทั่วไปคือทาสลูกหนี้ 
ทำงานหาเงินเพื่อใช้หนี้ จ่ายภาษีจนตาย



"I don't want a nation of thinkers. I want a nation of workers." "ผมไม่ต้องการชาติแห่งนักคิด 
แต่ผมต้องการชาติแห่งผู้ใช้แรงงาน (ทาส)" - จอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์

ระบบธุรกิจแบบทุนนิยมคือรูปแบบการควบคุมแบบ pyramid scheme


ประชาชนทั่วไปเป็นเบี้ยล่างให้กับการเล่นเกลมของกลุ่มอีลิธที่มีเงินทุนในการทำธุรกิจ

----------------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

58) แผนที่โลกโบราณวาดโดยศิลปินชาวอิตาเลียน Urbano Monte (1587)

แผนที่โลกโบราณวาดโดย Urbano Monte ศิลปินชาวอิตาเลียน ทำขึ้นในปี 1587 (430 ปีที่แล้ว) แผนที่มีใหญ่ขนาด 3x3 เมตร และเพิ่งได้รับการต่อเป็นแผนที่ฉบับเต็มโดยใช้วิธีทางดิจิตอล จัดทำโดย David Rumsey Map Collection แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Monte วาดแผนที่นี้ใส่แผ่นกระดาษไว้ทั้งหมด 60 ชิ้น รวมไว้เป็นสมุดภาพเล่มใหญ่และเพิ่งได้รับการนำมาต่อเป็นภาพแผนที่โลกเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2017

Monte ได้ทำแผนที่นี้ขึ้นมาไม่ได้เอาไว้ใช้แค่การศึกษาเรื่องภูมิศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เอาไว้ศึกษาเรื่องสภาพอากาศ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระยะเวลาความยาวนานของวัน ระยะทางของแต่ละภูมิภาคด้วย

Largest Early World Map - Monte's 10 ft. Planisphere of 1587
https://www.youtube.com/watch?v=2azhqvMoZ4w

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดของภาพวาดของแผนที่ได้ตามลิงค์นี้ มีการสแกนไว้ทั้งหมด 60 แผ่น
https://www.davidrumsey.com/blog/2017/11/26/largest-early-world-map-monte-s-10-ft-planisphere-of-1587




แผนที่ของ Monte ถูกวาดขึ้นก่อนแผนที่ Planisphere เป็นเวลา 84 ปี ซึ่งเป็นแผนที่โลกแบบ Azimuthal Equidistant ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ว่าจ้างนักดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียน Giovanni Domenico Cassini มาทำงานให้ และเขาได้สร้างแผนที่โลกขนาดใหญ่ถึง 7.80 เมตร บนพื้นที่ว่างชั้นสามของหอแปดเหลี่ยมด้านตะวันตกของหอดูดาวในกรุงปารีส

รายละเอียดอ่านได้จากในลิงค์นี้ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/blog-post.html


แผนที่ของ Monte ได้รับความสนใจมากเพราะมีความละเอียด มีการจดบันทึกและวาดภาพเกี่ยวกับพื้นที่ของแต่ละ
ภูมิภาคไว้อย่างน่าสนใจ ทาง David Rumsey Map Collection จึงได้มีการทำภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเอาแผนที่ของMonte ไปประยุกต์เข้ากับโลกทรงกลมไว้ให้ดูด้วย



---------------------------------------