วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

29) แผนที่โลกแบนของ Alexander Gleason ปี 1893

มีลูกเพจอยู่คนนึงมักจะคอมเม้นท์บ่อย ๆ ว่าโลกแบนไม่มีแผนที่ ทั้งที่แอดก็เคยรวบรวมแผนที่โลกแบนมาให้ดูแล้วตามลิงค์นี้ 
1) แหล่งข้อมูล หนังสือ เอกสาร และแผนที่เกี่ยวกับทฤษฎีโลกแบน Old Books, Documents, and Maps of Flat Earth  https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/5-old-books-documents-and-maps-of-flat.html
2) ความรู้ด้านดาราศาสตร์และแผนที่โลกแบนในยุคเริ่มต้น https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/20.html
3) แผนที่โลกแบนกับลูกโลก https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/blog-post.html

แผนที่โลกแบนมีลักษณะเดียวกันกับแผนที่แบบ Azimuthal Equidistant (AE) หรืออีกชื่อนึงคือ North pole projection และเหมือนกับแผนที่ที่ใช้ด้านการบิน (Air Age Map) และในวงการวิทยุสื่อสารเรียกว่า HAM map

สำหรับแผนที่ชิ้นที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับเรื่องโลกแบนคือแผนที่ชิ้นนี้ "New Standard Map Of The World" จัดทำโดย Alexander Gleason ตั้งแต่เมื่อปี 1893 โดยอธิบายว่าเป็น Time-chart เอาไว้ใช้คำนวณเพื่อบอกเวลาได้ทุกประเทศทั่วโลก 

7.30 MB (4,773 x 6,794 pixels)
GLEASON’S NEW STANDARD MAP OF THE WORLD ON THE PROJECTION OF 
J. S. CHRISTOPHER, MODERN COLLEGE, BLACKHEATH, ENGLAND
SCIENTIFICALLY AND PRACTICALLY CORRECT AS “IT IS”



สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรในหลายประเทศ สำหรับในสหรัฐอเมริกาได้รับสิทธิบัตรหมายเลข 497,917 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1893 ตามรายละเอียดในเอกสารนี้ 




คลิปนี้อธิบายวิธีการใช้ time chart นี้ในการคำนวณเวลาของแต่ละประเทศ

Using Gleason Map to Tell Time (Flat Earth)


นอกจากนั้น Mr. Gleason ยังได้เขียนหนังสือประกอบไว้ด้วยชื่อหนังสือคือ Is the Bible from Heaven? Is the Earth A globe? สามารถอ่านและดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ https://archive.org/details/alex_gleason-is_the_bible_from_heaven__is_the_earth_a_globe.o_201611/page/n15





หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกอธิบายเกี่ยวกับโลกและปรากฎการณ์ต่าง ๆ บนโลกโดยอ้างอิงข้อมูลตามที่ปรากฎอยู่ในไบเบิล ส่วนที่สองคือการการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลมจริงหรือไม่อย่างเช่น การคำนวณความโค้งของโลก การคำนวณระยะห่างของดวงอาทิตย์กับโลก การสำรวจแอนตาร์คติกา ข้อจำกัดของการมองเห็นและจุด vanishing point ฯลฯ หนังสือมีทั้งหมด 433 หน้า แบ่งเป็น 20 บท ตามรายละเอียดในสารบัญดังนี้ 



การคำนวณเวลาของ time chart ของ Gleason ใช้ระบบการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์แบบ Geocentric บนโลกที่มีลักษณะแบนราบ ซึ่งก็ตรงกับระบบกลไกของนาฬิกาดาราศาสตร์โบราณของกรุงปราก ในสาธารณรัฐเช็ก ที่ถูกสร้างไว้ตั้งแต่ปี 1410 

Astronomical Clock - Old Town Square, Prague

ลองเอาแผนที่แบบ AE เทียบกับ timezone ของแต่ละประเทศ



การแบ่ง timezone บนแผนที่สี่เหลี่ยมที่เรามักจะเห็นกันจนชินตา
 
โมเดลโลกแบนมีลักษณะเป็นวงกลม แอนตาร์กติกาเป็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ล้อมรอบแผ่นดินและน้ำอีกที แต่สำหรับโลกกลมแอนตาร์กติกาคือทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ของโลกอย่างในภาพด้านล่างคือ timezone ของแอนตาร์กติกาซึ่งคำอธิบายจากวิกิพีเดียบอกว่าการแบ่งส่วน timezone ของที่นี่แบ่งตามประเทศที่จัดหาเสบียงส่งมาให้


ซึ่งก็น่าแปลกเพราะเป็นที่เดียวบนโลกที่ไม่ได้แบ่ง timezone ตามเวลาจริงที่เกิดตามธรรมชาติ แต่แบ่งตามประเทศผู้ที่รับผิดชอบดูแลการส่งเสบียงเข้ามาให้ในพื้นที่ อืมม... แปลกดี


--------------------------------------------------------------

ด้านล่างคือแผนที่โลกแบนแบบอื่น ๆ เผื่อใครสนใจเอาไปปริ้นท์เพื่อการศึกษาเพิ่มเติม










กลุ่มนี้ไฟล์ค่อนข้างเล็ก ปริ้นท์ขนาดใหญ่อาจจะไม่ชัด









----------------------------------------------------------

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

27) กระแสเรื่องโลกแบนในสื่อต่างประเทศ

กระแสโลกแบนในสื่อต่างประเทศ

รวบรวมไว้สำหรับคนที่สนใจหาข้อมูลด้วยตัวเอง

จากรายการ This Morning ในอเมริกา

Phillip Is Absolutely Baffled by the Men Who Believe the Earth Is Flat | This Morning
https://www.youtube.com/watch?v=erA3WQE9Zes

ให้สัมภาษณ์ในรายการ 9News ของอเมริกา

9News Denver | The Rise of the Flat Earth Movement with Jeremy Jojola

จากรายการทีวีในออสเตรเลีย

Flat Earth on Australian Television

จากรายการทีวีในเนเธอร์แลนด์

Flat Earth on Dutch T.V

การดีเบทเรื่องโลกแบนที่อเมริกา 2016

Rob Skiba and Zachary Bauer Debate Flat Earth


การดีเบทระหว่างทีมโลกแบนกับน.ศ.ปริญญาเอกด้าน Astrophysics ที่อังกฤษ 2018

History Making FLAT EARTH vs SCIENTISTS Debate

การจัดประชุมโลกแบนที่อเมริกาเมื่อปีที่แล้ว 2017

2017 Flat Earth International Conference - GLOBEBUSTERS


การประชุมโลกแบนที่แคนาดา 2018

FEIC 2018 Canada - Day 2 - Session 7 (expanded): Jeran Campanella


FE2018 Canada Flat Earth Bible Panel Q&A | Robbie Davidson, Rob Skiba, 
Emmanuel Lokonga & Matt Long

การประชุมโลกแบนที่เกาหลีใต้ 2018

FLAT EARTH - 2018 FE Conference in Seoul, South Korea

การประชุมล่าสุดของชาวโลกแบน Flat Earth International Conference ใน Denver 2018

Flat Earth Debate Rob Skiba vs Robert Sungenis - FEIC 2018

-------------------------------------------------

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

26) ความรู้เรื่องจักรวาลของชาวสยามในอดีต

บันทึกจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ฉบับนี้มีการกล่าวถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลของชาวสยามในอดีต อยู่ในเอกสารหน้า 201 - 202 ซึ่งความเชื่อเรื่องพิภพนี้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจักรวาลตามเอกสารไตรภูมิพระร่วง และก็น่าแปลกที่แนวความคิดนี้สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องโลกและจักรวาลในวัฒนธรรมอื่น ๆ

จุดประสงค์ของบทความชิ้นนี้ต้องการบันทึกไว้เป็นข้อมูล ว่าความเชื่อเรื่องจักรวาลแต่ดั้งเดิมของชาวไทยก็ไม่แตกต่างจากอารยธรรมโบราณในยุคสมัยอื่น ไม่ได้ต้องการจะบ่งชี้ว่าเป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de la Loubere) เป็นเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ออกเดินทางจากท่าเรือเมืองเบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1687 เรือมาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 27 กันยายน ปีเดียวกัน รวมเวลาเดินทางขามา 211 วัน เขาพำนักอยู่ในเมืองไทย 3 เดือน 6 วัน เพื่อถวายพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แล้วออกจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1688 มาถึงท่าเรือเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ปีเดียวกัน รวมเวลาเดินทางขากลับ 206 วัน (จากเอกสาร บทวิจารณ์หนังสือ: จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม




จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม
เขียนโดย : มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์
แปลโดย : สันต์ ท. โกมลบุตร





หน้า ๒๐๑ - ๒๐๒


๘. ชาวสยามรู้สึกอย่างไรในเรื่องระบบพิภพ
ความรู้ความชำนาญของชาวสยามที่เกี่ยวกับวิชาดาราศาสตร์นั้น อาจสรุปลงได้ภายในไม่กี่คำ อนึ่งชาวสยามไม่ประสาเลยกับระบบของพิภพอันถูกต้อง ค่าที่ไม่รู้สาเหตุนั่นเองว่ามีมาอย่างไร เขาจึงมีความเชื่อโดยทำนองเดียวกับชาวตะวันออกทั่วไปว่า สุริยุปราคาและจันทรุปราคานั้นเป็นด้วยฤทธิ์เดชของนาคราชกลืนดวงตะวัน และดวงเดือนเข้าไป (ลางทีคำพูดทำนองนี้อาจเป็นข้ออุปมาของพวกนักดาราศาสตร์ก็ได้ ว่าอุปราคานั้นปรากฏทางหัวหรือทางหางของพญานาค) (๑๐๓) และเขาทำเสียงดังอึกทึกคึกโครมด้วยการตีเตาเหล็กและหม้อเหล็กระเบ็งเซ็งแซ่ เพื่อให้สัตว์ร้ายตื่นกลัวและขับไล่ไปเสีย และเพื่อช่วยให้ดาวพระเคราะห์นั้นพ้นภัยไปด้วย ชาวสยามเชื่อว่าพิภพของเรานั้น เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและกว้างใหญ่ไพศาลมากและโค้งเพดานฟ้านั้นจรดสี่มุมโลก คล้าย ๆ กับ....
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(๑๐๓) หลุดไปสว่างทางหัวก็เป็น "คาย" ถ้าหลุดออกทางหางก็เป็น "ขี้" ดังที่ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราว่ากัน แต่ประหลาดที่กลายเป็นพญานาคไปได้ แทนที่จะเป็นราหู




ครอบแก้วที่เราใช้ครอบต้นไม้ในสวนของเราฉะนั้น เขายืนยันว่าพิภพของเรานี้แบ่งออกเป็นสี่ภาค (ทวีป ซึ่งมีผู้คนอาศัย มีทะเลคั่นแบ่งเขตออกเป็น ๔ โลกต่างหากจากกัน และสันนิษฐานว่าท่ามกลางทวีปทั้ง ๔ นี้มีมหาบรรพตเป็นรูปปรางค์ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ด้านเท่ากัน เรียกว่า เขาพระสุเมรุ (Caou pra Soumene) เขา แปลว่า ภูเขาและปีน (montagne & monter) และตั้งแต่พื้นพิภพหรือพื้นทะเลขึ้นไปถึงยอดบรรพตนั้นระฟ้าถึงดาว กล่าวกันว่ามีความสูงถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ (Jods) โยชน์นึงยาวประมาณ ๘,๐๐๐ วา อนึ่งหลังจากพื้นทะเลลึกลงไปถึงพื้นรากเขาพระสุเมรุก็มีความลึกเท่า ๆ กับความสูง และจากฟ้าเขาพระสุเมรุทั้ง ๔ ด้านที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแล้ว ก็มีความกว้างด้านละ ๘๔,๐๐๐ โยชน์เหมือนกัน อันพิภพที่เราชาวสยามเรียกว่า ชมพู (Tchiampion) ซึ่งเขากล่าวว่าตั้งอยู่ทางทิศทักษิณของเขาพระสุเมรุนั้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายหมุนรอบพิภพนี้มิหยุดหย่อน จึงเป็นกลางวันและกลางคืน เหนือยอดเขาพระสุเมรุเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าซึ่งชาวสยามเรียกว่าอินทราธิราช (Intratiracha) และเหนือขึ้นไปอีกก็เป็นสวรรค์ของพวกเทวดา ตัวอย่างที่ยกมานี้แลเป็นทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสืบทราบมาจากชาวสยาม ก็พอจะอนุมานได้ว่าชาวสยามมีความรู้ในเรื่องพิภพหยาบเพียงไร และถ้าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ไม่ครงกับที่มีผู้เขียนถึงเรีองนี้มาแต่ก่อนแล้ว ก็มิพึงจะเว้นชมเชยความคิดต่างแตกแหวกแนวของชาวสยาม เกี่ยวกับเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ว่าผิดแผกกับระบบดาราศาสตร์ของเราซึ่งพวกเราเชื่อกันว่าเราเข้าใจดีแล้วนั้นเลย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย
โยชน์ เป็นหน่วยวัดความยาวของไทย มีระยะเท่ากับ 400 เส้น แต่เนื่องจาก 1 เส้นถูกกำหนดให้เท่ากับ 40 เมตรโดย พระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ ดังนั้นความยาว 1 โยชน์จึงมีระยะเทียบเท่ากับ 16,000 เมตร หรือ 16 กิโลเมตร


บทความที่เกี่ยวข้อง
1) ความรู้ด้านดาราศาสตร์และแผนที่โลกแบนในยุคเริ่มต้น https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/20.html
2) แผนที่โลกแบนกับลูกโลก https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/blog-post.html
3) บทวิจารณ์หนังสือ: จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม
https://mekongjournal.kku.ac.th/Vol07/Issue02/11.pdf

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561

25) ตอบคำถามจาก inbox เรื่อง 'ดาวเหนือและพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่ขั้วโลกใต้' วันที่ 20 ต.ค. 2561

คำตอบสำหรับคำถามจาก inbox วันที่ 20 ต.ค. 2561


ข้อ 1) เป็นเรื่องของข้อจำกัดของสายตามนุษย์และ perspective คลิปนี้อธิบายละเอียดดี ส่วนอันที่สองจาก Eric Dubay มีคำอธิบายเรื่อง perspective ในนั้นด้วยเหมือนกัน

FLAT EARTH - SOUTHERN STARS ROTATION EXPLAINED, Why Sun sets at South West?


Flat Earth Star Trails Explained
https://www.youtube.com/watch?v=Jxae4cm9qR0&t=17s


ที่จริงแล้วโมเดลโลกกลมในระบบสุริยะ (Heliocentric Model) อธิบายว่าโลกมีการเคลื่อนที่ 3 แบบ คือ
1) โลกหมุนรอบตัวเอง
2) โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
3) ดวงอาทิตย์พุ่งทยานไปในจักรวาลด้วยความเร็ว 240 กม. / วินาที ก็แปลว่าโลกต้องเคลื่อนที่ตามด้วยความเร็วที่เท่ากัน (หรือต้องเร็วมากกว่าเพราะโลกต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย)

ซึ่งก็น่าสงสัยว่าถ้าโลกเคลื่อนที่แบบนั้นจริง ทำไมการถ่ายภาพ time-lapse ของดาวเหนือจึงได้ภาพ star trails ที่คมชัด โดยปกติการตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพดาวต้องเปิดรูรับแสงกว้างและกล้องต้องอยู่นิ่งตลอดเวลาถึงจะได้ภาพที่เป็นเส้นคมชัดแบบนั้นถูกต้องไหม?? ยังมีอีกหลายข้อที่น่าสังเกตสำหรับโมเดลโลกกลมลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/05/16.html และ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/05/17-2.html


ข้อ 2) ดวงอาทิตย์เที่ยงคืนที่ขั้วโลกใต้แอดยังไม่เคยเห็นภาพจริง ๆ ซะที ชาวโลกแบนพยายามหาภาพวิดีโอที่ถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตลอด 24 ชม. ที่ขั้วโลกใต้กันมานานแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ภาพจริงเท่าที่เห็นคือเป็นภาพตัดต่อ และจากภาพกล้องวงจรปิดที่ขั้วโลกใต้ก็มีการตัดภาพ (edit) ซึ่งเราจะไม่เคยเห็นภาพตลอด 24 ชม.ที่ขั้วโลกใต้ คำอธิบายจากในคลิปนี้
Antarctica Is NOT What You Think - No 24 Hour Sun!


ข้อ 3) ในโมเดลโลกแบนจะมีวัสดุที่มีลักษณะเป็นโดมโค้งเหนือขึ้นไปบนฟ้าอีกที (ในไบเบิลเรียกว่า firmament) ซึ่งก็มีความสอดคล้องกับโมเดล Geocentric ที่อธิบายโดย Ptolemy บอกไว้ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โลกอยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนที่ แต่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนรอบโลก และการเคลื่อนที่ของดวงดาวมีลักษณะเคลื่อนไปพร้อมกันตามทรงกลมฟ้า (Celestial sphere) ที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง (arc) (อ่านเพิ่มเติมที่ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/04/15-heliocentric.html และ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/blog-post.html)

คอนเซ็ปต์โลกแบนแบบมีโดมครอบอยู่นี้ไม่ใช่แค่ถูกอธิบายอยู่แค่ในไบเบิล (ฉบับ King James) แต่มีอยู่ในอารยธรรมโบราณหลายแห่ง รวมทั้งในเอกสารไตรภูมิพระร่วงของศาสนาพุทธ





แม้แต่ในการอธิบายเรื่องดวงดาวของวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังใช้คอนเซ็ปต์ celestial sphere มาใช้อธิบายด้วย


ลองสังเกตการหมุนของโมเดลโลกกลมที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ มันหมุนไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในความจริงเราเห็นภาพการหมุนแบบนี้



สำหรับประเด็นเรื่องโดมนี้แม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นภาพจริง ๆ ว่าโลกเรามีโดมครอบอยู่ แต่เราก็สันนิษฐานได้จากสภาพแวดล้อมหลายอย่างบนโลก เช่น บรรยากาศของโลกเต็มไปด้วยแก๊สหลายชนิด และคุณสมบัติของแก๊สต้องอยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิด แล้วเรามีอะไรกั้นระหว่างโลกที่มีแก๊สชนิดต่าง ๆ กับอวกาศที่เป็นสุญญากาศ


อีกอันนึงที่น่าสนใจคือการเกิด star trails แบบวนตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาเวลาถ่ายภาพดาวแบบ time-lapse ที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร (equator) อย่างในคลิปอันแรกที่แปะไว้นั่นก็มีคำอธิบาย และในคลิปนี้ก็น่าสนใจ

Star trails viewed through a glass dome
https://www.youtube.com/watch?v=DWsWNsuP-KI



ข้อสังเกตของปรากฏการณ์หลายอย่างบนฟ้ารวมทั้งการเกิดรุ้งที่เป็นทรงโค้งก็มีคำอธิบายในโมเดลโลกแบน แต่ลองศึกษาภาพพวกนี้ประกอบด้วยน่าจะพอเข้าใจเห็นภาพชัดขึ้นเกี่ยวกับระบบของท้องฟ้าในโมเดลโลกแบน




เรื่องการเกิดรุ้งในโมเดลโลกแบน แอดชอบคลิปนี้อธิบายชัดเจนดี

Rainbow Proves a Dome. Make Videos - FLAT EARTH


อันนี้ก็น่าสนใจ ลองฟังดู

Flat Earth Proof 25 - Rainbows

-----------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

24) คำตอบสำหรับคุณ Hawaree Mateha เรื่อง 'พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า'

ตอบคำถามของคุณ Hawaree Mateha




จากที่เคยเขียนบทความไว้เรื่องการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบน โดยใช้หลักการของ Electromagnetic มาอธิบายตามบทความนี้ https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/09/23.html และคุณ Hawaree ถามแอดว่าหากการลอยตัวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เกิดขึ้นเพราะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจริง น่าจะเป็นปัญหากับอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน เท่าที่แอดทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลมาจะขอตอบว่าเป็นเรื่องของความแตกต่างของคลื่นความถี่ (frequency) เหมือนกับคลื่นความถี่ของแสงและเสียง ตาและหูของมนุษย์กับสัตว์ประเภทอื่น ๆ ก็มีความสามารถในการรับคลื่นได้แตกต่างกัน อย่างในภาพนี้อธิบายว่ารังสีแกมมา (Gramma ray) อยู่ในช่วงคลื่นที่ตามนุษย์มองไม่เห็นและเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ในการถนอมอาหารได้




ส่วนเรื่องการลอยตัวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์น่ะ มันมีการทดลองอีกอันนึงของ John Hutchison ที่ใช้องค์ความรู้ของเทสลาสามารถทำให้สิ่งของลอยได้โดยใช้คลื่นความถี่จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเค้าอธิบายว่ามันน่าจะเกี่ยวกับ Electrostatics RF fields (สนามไฟฟ้าสถิตย์ของคลื่นวิทยุ) และปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า The Hutchison Effect แต่เนื่องจากเค้าไม่ได้ใช้ความรู้แบบวิทยาศาสตร์กระแสหลัก (mainstream science) และก็ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย จึงไม่ได้มีเอกสารวิชาการที่ตีพิมพ์เป็นทางการ และยิ่งเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับเทสลายิ่งไม่ค่อยมีใครรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ลองดูภาพในคลิปจะเห็นว่ามีของบางอย่างลอยได้ แต่บางชิ้นไม่ลอย ไอติมที่ใส่ในแก้วก็ลอยขึ้นมา แต่แก้วไม่ได้ลอยตามมาด้วย ขนาดลูกปืนหนักตั้ง 70 ปอนด์ (31 กก.) ก็ลอยได้


Zero-Point Energy, Levitation, Electromagnetic Fields & Matter - The Hutchison Effect!


ในตอนท้ายคลิปมีนักวิชาการอธิบายว่าปรากฎการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าแปลกใจเพราะว่าเค้าใช้อุปกรณ์ 2 ชิ้นคือ Tesla Coil และ Van de Graaff ในการทำให้สิ่งของลอยได้ ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์และได้ผลเป็นกราฟออกมาและได้ข้อสรุปว่ามันคือแรง (force) ชนิดใหม่ที่เค้าเรียกว่า hyper force และปรากฏการณ์ Hutchison effect นี้ก็ถูกใช้เป็นมาตรฐานเพื่อการเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ที่มีแรงขับเคลื่อนจากไฟฟ้าแรงสูง (High voltage propulsion devices) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า electro gravity

Van de Graaff Generator

เวลาเข้าไปอ่านคอมเม้นท์ในเพจต่างประเทศหลายคนก็จะอธิบายว่าการลอยตัวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์คือปรากฏการณ์ของไฟฟ้าสถิตย์ และ Van de Graaff คืออุปกรณ์ที่ถูกพัฒนามาจาก Tesla Coil ซึ่งมักนำมาใช้สอนเรื่องไฟฟ้าสถิตย์นี้ให้กับเด็ก ๆ ส่วนคลิปด้านล่างนี่อธิบายดี แปะไว้เผื่อใครสนใจหาข้อมูลเพิ่ม


Should a Person Touch 200,000 Volts? A Van de Graaff generator experiment!


ส่วนอันนี้อธิบายเรื่องเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า

Thunder and Lightning

มีนักฟิสิกส์หลายคนเขียนบทความเกี่ยวกับ Hutchison Effect ไว้อยู่ลองเข้าไปดูในเว็บของเค้าได้
http://www.hutchisoneffect.com/Research.php แนะนำเล่มนี้ก่อนเลย




และมีหนังสืออีกเล่มนึงชื่อ The Hunt for Zero Point เขียนโดย Nick Cook 



แอดหาข้อมูลเพิ่มเติมมามีคำอธิบายว่าปรากฎการณ์ Hutchison Effect เรียกว่า hyper atomic resonance ซึ่งทำให้เกิดปฏิกริยาแบบ diamagnetism และในทางกลศาสตร์ควอนตัมบอกไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้มีคุณสมบัติเป็นคลื่น (wave) และมีระดับความถี่ที่แตกต่างกันไป 

ดังนั้นคำตอบของแอดคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยได้ไม่มีผลกระทบกับอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารบนโลกเพราะใช้ย่านคลื่นความถี่คนละระดับกัน

--------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

23) หลักการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบน

หลักการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบน

Michael Faraday

คำอธิบายเรื่องการโคจรของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ของโมเดลโลกแบนใช้องค์ความรู้เรื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic field) ของไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) ด้วยหลักการ Faraday Rotation หรือ Faraday Effect ในคลิปนี้มีการทดลอง 2 ชิ้นที่อธิบายระบบการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ด้วยหลักการสนามแม่เหล็กไฟฟ้า อันแรกเป็นของฟาราเดย์ที่ Royal Institution ในกรุงลอนดอน ในนาทีที่ 9.28 และอันที่สองนาทีที่ 14.44


FERC - Sun & Moon on Electromagnetic Field ("Faraday effect" or "Faraday rotation")
https://www.youtube.com/watch?v=f5HN1vmKp64

ประเด็นที่น่าสนใจในการทดลองนี้คือความสอดคล้องกับข้อมูลที่บอกว่าแสงจากดวงจันทร์มีคุณสมบัติต่างกันกับแสงจากดวงอาทิตย์ วิธีการทดสอบอย่างง่าย ๆ ด้วยการวัดอุณหภูมิบริเวณที่อยู่ใต้แสงจันทร์กับบริเวณที่ไม่ได้อยู่ใต้แสงจันทร์

Moonlight Temperature Test

James Clerk Maxwell

ทฤษฎีของฟาราเดย์สามารถอธิบายได้ด้วยสมการของ James Clerk Maxwell (Maxwell's equations) คลิปนี้อธิบายว่าจากสมการของ Maxwell นี้เองทำให้เกิดองค์ความรู้เรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งกลายมาเป็นเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบไร้สายในยุคปัจจุบัน (นาทีที่ 0.48)

Maxwell's Equations: Crash Course Physics #37
https://www.youtube.com/watch?v=K40lNL3KsJ4

ไมเคิล ฟาราเดย์ และเจมส์ แมกซ์เวลล์ได้มีการพูดคุยกันผ่านจดหมาย เอกสารด้านล่างคือจดหมายที่ฟาราเดย์เขียนถึงแมกซ์เวลล์เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1857 จากหนังสือ “Life and Letters of Faraday” โดย Henry Bence Jones (1870)



Nikola Tesla

ต่อมา Nikola Tesla ใช้หลักการสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้ในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ของเขา สิ่งประดิษฐ์ของเทสลาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการส่งสัญญาณด้วยคลื่น รวมทั้งการส่งพลังงานแบบไร้สาย ที่ซิลิคอนวัลเลย์มีรูปปั้นเทสลายืนถือหลอดไฟทรงกลมอยู่เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขาในฐานะนักประดิษฐ์ที่มีความฝันในการส่งพลังงานแบบไร้สายให้กับทุกคนบนโลก


 
ภาพซ้ายคือภาพถ่ายของเทสลาในการทดลองส่งกระแสไฟฟ้าไปยังหลอดไฟแบบไร้สาย
ภาพขวาคือภาพของมาร์ค ทเวน ที่เป็นเพื่อนกับเทสลาและมักมาที่ห้องทดลองของเขาเป็นประจำ

ภาพถ่ายของเทสลาที่ Colorado Springs Laboratory (1899-1900)

เทสลาเป็นนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมากในยุคต้นศตวรรษที่ 20 เขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ วิศวรกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า ฯลฯ เขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเกือบ 300 รายการจาก 26 ประเทศ มีทั้งในสหรัฐอเมริกา (111 ฉบับ) อังกฤษ (29 ฉบับ) และแคนาดา (7 ฉบับ) แต่สิทธิบัตรจำนวนหนึ่งของเทสลาได้หายไปจากห้องหลังจากที่เขาเสียชีวิต (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าเทสลาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรกว่า 700 ชิ้นงาน) เอกสารของเทสลาบางส่วนสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของ FBI https://vault.fbi.gov/nikola-tesla 

ประวัติชีวิตและการทำงานของเทสลาจาก www.teslabook.fw.hu/nikola%20tesla_2015_en.htm#a34


ประวัติศาสตร์การส่งพลังงานแบบไร้สาย


  • ปี 1893 นิโคลา เทสลาเป็นนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถส่งพลังงานแบบไร้สายได้จากการสาธิตการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังหลอดไฟในการบรรยายที่เมืองชิคาโก 
  • ต่อมาปี 1894 เทสลาทำให้หลอดไฟขั้วเดียวส่องสว่างได้ใน NYC โดยวิธีการเหนี่ยวนำไฟฟ้ากระแสสลับ (electrodynamic induction)
  • ในปี 1896 เทสลาส่งสัญญาณวิทยุได้ไกลถึง 48 กม./30 ไมล์
  • ต่อมาปี 1897 กูลเยลโม มาร์โกนี วิศวกรไฟฟ้าชาวอิตาลี ส่งรหัสมอร์สผ่านคลื่นสัญญาณคลื่นวิทยุได้ในระยะทาง 6 กม./4 ไมล์
  • ต่อมาปี 1898 ไฮน์ริช เฮิรตซ์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันยืนยันการมีอยู่จริงของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
  • ในปี 1901 กูลเยลโม มาร์โกนี ส่งสัญญาณข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เทสลาประดิษฐ์ และถูกฟ้องเพราะละเมิดสิทธิบัตรของเทสลา สุดท้ายเทสลาเป็นผู้ชนะคดีในปี 1943 แต่เทสลาเสียชีวิตไปก่อนแล้วเมื่อ 7 มกราคม 1943

นิโคลา เทสลา อัจฉริยะตัวจริง

หลักการทำงานของสิ่งประดิษฐ์ของเทสลาใช้ Aether (อีเทอร์) เป็นตัวกลาง (medium) ของการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (อีเทอร์ถูกตั้งชื่อตามเทพีแห่งอากาศตามความเชื่อโบราณของชาวกรีก) สิ่งประดิษฐ์ของเทสลามีตั้งแต่รีโมทคอนโทรล ไฟนีออน คลื่นไมโครเวฟ การถ่ายภาพ x-ray โดรน ไปจนถึงอาวุธสงคราม ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือการสร้างระบบการส่งไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current - AC) โดยเขาคิดและออกแบบอุปกรณ์ทุกชิ้นในการสร้างระบบนี้และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรทั้งหมดกว่า 40 ชิ้นงาน

เทสลาได้รับเชิญให้ไปบรรยายให้กับ French Physical Society 
และ International Society of Electricians ที่ประเทศฝรั่งเศส


เทสลากับการทดลองด้านวิทยาศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลิน

เทสลาทดลองการใช้รีโมทบังคับเรือของเล่นปี 1898 ที่ Madison Square Gardens

ตัวอย่างการส่งพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สายโดยใช้เทสลาคอยล์ (Tesla Coil)

TESLA EXPERIMENT - Energy from the ether

มีสิ่งประดิษฐ์ของเทสลาชิ้นนึงชื่อว่า Plasma ball ใช้หลักการทำงานเหมือนกับดวงอาทิตย์

Explaining the Sun with a Plasma Ball
https://www.youtube.com/watch?v=jN9yLJyXTVs

เทสลาเคยเขียนหลักการทำงานของดวงอาทิตย์ไว้ในนิตยสาร The Century Magazine เดือนมิถุนายน 1900 หน้า 175 - 211 ซึ่งเขาได้ทำการทดลองและให้ความเห็นไว้ว่าทุกคนบนโลกสามารถได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานธรรมชาตินี้ได้ฟรี (อ่านบทความได้จากลิงค์นี้ https://teslauniverse.com/nikola-tesla/articles/problem-increasing-human-energy)


SUN MOON & TESLA'S THOUGHTS

ด้านล่างคือโมเดลที่อธิบายหลักการทำงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในโมเดลโลกแบน
โดยใช้องค์ความรู้ของนิโคลา เทสลา


Flat Earth: Tides & The Electromagnetic Energy of the Sun & Moon (Part 2)

หากใครสนใจประวัติของนิโคลา เทสลาสามารถดูได้จากคลิปนี้ 

สารคดีนิโคลา เทสลา กระแสไฟฟ้าไร้สาย (พากย์ไทย)

ในประเทศไทยมีหนังสือประวัติเทสลาตีพิมพ์เพียงเล่มเดียวโดยสำนักพิมพ์มติชน
"นิโคลา เทสลา อัจฉริยะนักฝันผู้เดียวดาย" 
(Prodigal Genius, The life of Nikola Tesla) ผู้เขียน: John J. O'Neill (จอห์น เจ โอนีล) /
ผู้แปล: ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย / สำนักพิมพ์: มติชน / จำนวน 376 หน้า
ใครที่ชอบด้านวิทยาศาสตร์แนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้เลยเขียนดีมาก ๆ


คุณูปการที่เทสลาสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ไว้ให้กับโลกมนุษย์นั้นมีมากมาย แต่มันก็น่าสงสัยว่าทำไมเราไม่เคยได้ยินชื่อของเขาเลย ในทางตรงกันข้ามเรากลับถูกสอนให้รู้จักกับโทมัส อัลวา เอดิสัน 
เอดิสันเป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากและเป็นคู่อริกับเทสลาโดยตรง 
พวกเขาขัดแย้งกันทางด้านธุรกิจอย่างมากจนเรียกว่าเป็น The Current War (สงครามกระแสไฟ)


ยังจำภาพนี้ได้ไหมจากบทความ 1984 (2 + 2 = 5) 
ข้อมูลทุกอย่างสามารถถูกควบคุม ถูกเซ็นเซอร์ ถูกบิดเบือน ถูกดัดแปลงได้ทั้งสิ้น 


"ข้อมูลคืออำนาจ ซึ่งก็เหมือนอำนาจทุกอย่างนั่นแหละ มีคนที่ต้องการเก็บมันไว้เพื่อตัวเองเสมอ" 
- แอรอน สวอตซ์ (1986-2013)


----------------------------------------------------------------------------------------------