วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563

65) ตอบคำถาม 35 ข้อ เกี่ยวกับโลกแบนภายใน 35 นาที (ข้อ 21-30)


35 Most Common Flat Earth Questions Answered in 35 Minutes
https://youtu.be/VaonmDdVWaY

ข้อที่ 21) แล้วเรื่อง Time-Zone ล่ะ? (นาทีที่ 20:22) 

ดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ไกลมากถึง 93 ล้านไมล์แบบที่เราถูกสอนมา แต่มันอยู่ใกล้กับโลกและหมุนวนโคจรรอบโลก เราจะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เมื่อมันโคจรผ่านเราไปแล้ว time-zone เกิดจากการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์บนหัวของเรา ทุก ๆ 15 องศาเท่ากับ 1 ชม. ตามวงโคจรของดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนที่ไปรอบโลกเท่ากับมีเส้นแบ่งเขต time-zone 24 เส้น เป็น 24 ชม.ต่อ 1 วัน (15 องศา x 24 เส้น = 360 องศา)

คลิปด้านล่างคือนาฬิกาตั้งโต๊ะยี่ห้อ Seiko รุ่น World-Time Brass Clock Model QZ516G สามารถบอกเวลาได้ทั่วโลกมีแผนที่โลกแบนอยู่ตรงกลาง ในคลิปได้อธิบายวิธีการดูเวลาไว้ให้แล้ว

Seiko World-Time Brass Clock Model QZ516G (Revised)



ถ้าเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะจะเรียกว่า World time clock แต่ถ้าเป็นนาฬิกาข้อมือจะเรียกว่า Universal time watch มีหลายยี่ห้อ เช่น Montblanc รุ่น Heritage spirit orbis terrarum / Vacheron รุ่น Luxe Getaways Header / Vacheron รุ่น Constantin Traditionelle World Time / Vacheron รุ่น Constantin Overseas World Time / Jaeger รุ่น LeCoultre Geophysic Universal Time / Jaeger รุ่น LeCoultre Geophysic Universal Time Tourbillion Watch

แผนที่โลกแบนที่ Alexander Gleason ใช้ประดิษฐ์ time chart สามารถใช้คำนวณเวลาได้ทั่วโลก อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความด้านล่าง


(แผนที่สามารถโหลดไปปริ้นท์โปสเตอร์แผ่นใหญ่ได้ ความละเอียด 4,773 x 6,794 - 7.3MB)


#บทความอ่านเพิ่มเติม
29) แผนที่โลกแบนของ Alexander Gleason ปี 1893

ข้อที่ 22) แล้วเรื่องการไปเยือนดวงจันทร์และดาวอังคารล่ะ? (นาทีที่ 21:01)

นาซ่าอ้างว่าพวกเขาได้ไปเยือนดวงจันทร์ด้วยภารกิจอพอลโลถึง 6 ครั้ง ช่วยกรุณาพิสูจน์ดูด้วยตาตัวเองให้ดีมันเห็นกันชัด ๆ ว่าภารกิจการไปเยือนดวงจันทร์เหล่านี้เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด รวมถึงภารกิจอื่น ๆ ของนาซ่าด้วย นาซ่าอ้างว่าข้อมูลการไปเยือนดวงจันทร์สูญหายไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพ footage หรือข้อมูลการตรวจวัดระยะไกล ซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ว่าโครงการนั้นมีความถูกต้องจริงหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ภาพของโลกที่เราเห็นหลายภาพก็มาจากการใช้เทคนิคทางกราฟฟิกคือการ copy แล้ว paste บนพื้นหลัง และเงาในภาพก็ชี้ไปคนละทิศซึ่งบ่งบอกว่ามีจุดกำเนิดแสงมาจากหลายจุด ที่จริงแล้วจุดกำเนิดแสงบนดวงจันทร์ต้องมาจากดวงอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้นซึ่งจะทำเกิดเงาไปทางเดียวกัน แต่มีหลายภาพที่เราเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้น

แล้วถ้าเราดูภาพของดาวอังคาร ภาพของภูเขาที่อยู่บนดาวอังคารก็ดูคล้ายคลึงกับภาพภูเขาในรัฐอริโซนา ออสเตรเลีย อียิปต์ หรือแม้แต่ในไอร์แลนด์ ถ้าลองปรับสีด้วยโปรแกรม Photoshop โดยการเพิ่มสีแดงเข้าไป จะเห็นเลยว่ดาวอังคารช่างเหมือนกับโลกเรามาก ภาพของรถโรเวอร์บนดาวอังคารก็เป็นภาพแอนิเมชั่นที่ทำด้วยวิธีการทางกราฟฟิก หรือบางคลิปก็มาจากการถ่ายทำบนโลก

#บทความเพิ่มเติม
อพอลโลตอนที่ 1) https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/3-apollo.html
อพอลโลตอนที่ 2) https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/…/4-apollo-2.html
ชาแลนเจอร์ตอนที่ 1) https://flatearthmatters.blogspot.com/…/1986-challenger-dis…
ชาแลนเจอร์ตอนที่ 2) https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/01/8-1986-2.html

#เรื่องสภาวะสุญญากาศ
1) เรื่องของแรงดันอากาศกับสภาวะสุญญากาศ กรณี ISS ลอยอยู่ในอวกาศได้จริงหรือ??

2) ทำไมชาวโลกแบนถึงคิดว่าอวกาศเป็นเรื่องหลอกลวงและดาวเทียมไม่มีจริง

3) มนุษย์เราสามารถอาศัยอยู่ในอวกาศได้จริงหรือ??? Can we live in space?


ข้อที่ 23) แล้วเรื่องที่เห็นความโค้งของโลกจากหน้าต่างเครื่องบินล่ะ? (นาทีที่ 22:20)

มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เราจะได้เห็นความโค้งของโลกก็คือภาพกราฟฟิกจากนาซ่า หรือภาพถ่ายที่ใช้เลนส์ตาปลา (fisheye lens) จากกล้อง GoPro หลายคนอ้างว่าเห็นความโค้งของโลกตอนที่มองออกนอกหน้าต่างจากเครื่องบิน แต่เราต้องพิจารณาด้วยว่าถ้าโลกมีความโค้งจริงเวลาเราขึ้นที่สูงความโค้งของโลกจะทำให้เส้นขอบฟ้าค่อย ๆ ลดต่ำลง และเราต้องก้มหน้าดูถึงจะเห็นเส้นขอบฟ้าที่แผ่นดินตัดกับท้องฟ้า แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบนั้นเลย ในทางตรงกันข้ามเส้นขอบฟ้ากลับอยู่ที่ระดับสายตาของเราเสมอซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกกลม แต่มันจะเกิดขึ้นเฉพาะบนโลกที่มีลักษณะแบนเท่านั้น บางครั้งเราอาจจะเห็นความโค้งนิดหน่อยจากหน้าต่างเครื่องบินแต่พวกเขาก็ลืมไปว่ากำลังมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่เป็นเส้นตรงอยู่


กระจกหน้าต่างเครื่องบินถูกออกแบบมาให้มีความโค้งเล็กน้อยเพื่อลดแรงดันอากาศในเครื่องบิน และมีกระจกซ้อนอยู่หลายชั้นเวลามองพื้นโลกผ่านริมขอบกระจกจะเห็นเหมือนกับว่าแผ่นดินโค้งลง


ข้อ 24) แล้วลูกตุ้ม Foucault Pendulum ล่ะ? (นาทีที่ 23:11) 

ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 มีชายคนหนึ่งชื่อว่า Leon Foucault เริ่มการทดลองเหวี่ยงลูกตุ้มที่มีเข็มแหลมชี้ลงมาที่พื้น และลูกตุ้มนั้นจะหมุนเป็นวงกลม เขาอ้างว่าลูกตุ้มนั้นไม่ได้หมุนแต่เป็นพื้นโลกต่างหากที่กำลังหมุนอยู่ใต้ลูกตุ้ม อย่างไรก็ตามการทดลองนี้ถูกพิสูจน์ได้ง่าย ๆ เพราะลูกตุ้มไม่มีทางเหวี่ยงด้วยตัวเองต้องมีการเริ่มต้นเหวี่ยงจากคนก่อน ลูกตุ้มฟูโกต์นี้ในบางแห่งจะแกว่งช้าไป บางแห่งเร็วไป บางที่แกว่งไปทิศทางตรงกันข้าม หรือบางที่ก็ไม่แกว่งเลย ซึ่งมันชี้ให้เห็นว่าลูกตุ้มฟูโกต์ไม่ได้ช่วยพิสูจน์อะไรได้เลยว่าโลกหมุนจริงหรือไม่ แต่มันก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือไปทั่วโลกเพื่อบอกว่าโลกมีการเคลื่อนที่จริง

ถ้าลูกตุ้มฟูโกต์แกว่งเพราะการหมุนของโลกจริง พวกเครนที่ใช้ในการก่อสร้างก็คงจะแกว่งไม่หยุดเช่นกัน 

But what about the Foucault pendulum? Flat Earth.

ข้อ 25) แล้วจะอธิบายเรื่องทิศเหนือ ทิศใต้อย่างไรหากโลกแบนจริง? (นาทีที่ 24:03)

ในโมเดลโลกแบนทิศเหนือคือจุดกึ่งกลางของโลก ส่วนทิศใต้ก็คือฝั่งตรงกันข้ามกับทิศเหนือ ในการใช้เข็มทิศตัวเข็มจะชี้ตรงไปทางทิศเหนือเสมอไม่ว่าคุณอยู่ตรงจุดใดบนโลก คำว่า "Magnetic North" (MN - ทิศเหนือแม่เหล็ก) ไม่ใช่แค่คำเรียกมาแต่โบราณ แต่คนในยุคโบราณเรียกแบบนั้นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าตรงจุดกึ่งกลางของโลกแบนมีจุดที่มีแรงดูดเหมือนแม่เหล็ก ด้วยเหตุผลนี้เองไม่ว่าเราจะอยู่ ณ จุดใดบนโลกเข็มทิศจะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ ซึ่งก็เหมือนแม่เหล็กที่นำทางคุณไปในทิศนั้น ด้วยเหตุนี้การบอกทิศเหนือและทิศใต้บนโมเดลโลกแบนจึงมีเหตุมีผลมากกว่าบนโลกกลม 

วิธีการใช้เข็มทิศบนโลกที่มีลักษณะแบนใช้งานง่าย ๆ แบบนี้

Circumnavigating a FLAT EARTH for Dummies

ข้อ 26) แล้วดาวตก อุกกาบาต และรอยยุบจากการชนของอุกกาบาตล่ะ? (นาทีที่ 24:55) 

เราต่างถูกสอนว่าหลุมลึกที่เราเห็นบนโลกเกิดจากการชนของอุกกาบาต (craters) แต่อีกทีนึงเราก็จะถูกสอนว่าหลุมพวกนี้เกิดจากแก๊สใต้พื้นโลก หรือไม่ก็เกิดจากการทรุดตัวของพื้นดินเพราะน้ำเซาะอยู่ข้างใต้ (sinkhole) ถ้าหากว่าหลุมพวกนี้เกิดจากก้อนอุกกาบาตที่พุ่งเข้ามาชนจากนอกโลกจริง เราก็ต้องเห็นก้อนอุกกาบาตที่ใหญ่มากอยู่ในหลุมนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเราต้องได้เห็นเศษอุกกาบาตที่แตกกระจายไปรอบ ๆ ที่เกิดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง แต่จากลักษณะของพื้นที่รอบ ๆ หลุมพวกนี้ไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยเศษก้อนหินหรือก้อนอุกกาบาตที่ว่า 

ส่วนในกรณีของหินอุกกาบาต (meteors) ก็เหมือนกับก้อนหินจากดวงจันทร์ นาซ่าบอกว่าก้อนหินเหล่านี้มาจากอวกาศแล้วเราก็เชื่อว่าก้อนหินพวกนี้มาจากอวกาศจริง ๆ หากแต่ว่าเรามาพบความจริงในภายหลังว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งหลอกลวงทั้งหมดเพราะมันมาจากบนโลกเรานี่เอง

จากข่าวที่ว่ามีการตรวจสอบก้อนหินจากดวงจันทร์ที่พิพิธภัณฑ์ Rijksmuseum ในประเทศเนเธอร์แลนด์พบว่าเป็นเพียงไม้กลายเป็นหิน (petrified wood) ไม่ใช่ก้อนหินจากดวงจันทร์แต่อย่างใด


ส่วนดาวตก (comets) ก็คือดาวที่มีแสงพุ่งไปในท้องฟ้า มีกรณีอุกกาบาตตกหลายครั้งอย่างที่ในรัสเซียมีก้อนวัตถุพุ่งทะลุเข้ามาทางหน้าต่างที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง มันไม่ใช่ก้อนหินที่ตกลงมาจากท้องฟ้าหากแต่เป็นวัตถุทางการทหารประเภทหนึ่งที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบิน เพื่อจะทำให้เราเชื่อว่าวัตถุพวกนี้คือดาวตก ดาวตกพวกนี้มักจะถูกยิงออกมาในลักษณะจากบนลงล่าง ถ้าหากว่าวัตถุพวกนี้คือก้อนหินที่มาจากอวกาศจริงมันควรจะพุ่งเข้ามาในทุกทิศทาง ทุกมุมมองมากกว่าที่จะพุ่งเข้ามาในทิศทางเดียวในทุก ๆ ครั้ง 

#ข้อมูลเพิ่มเติม
หลุมแก๊สดาร์วาซาอยู่ในทะเลทราย Karakum ประเทศเติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan) หลุมมีขนาดความกว้าง 69 เมตร ลึก 30 เมตร ซึ่งเกิดเป็นหลุมจากการขุดหาบ่อน้ำมันของทีมวิศวกรจากประเทศโซเวียตตั้งแต่ปี 1971 หลุมนี้ปล่อยแก๊สมีเทนออกมาตลอดเวลาเกือบ 50 ปีมาแล้ว

This Hellish Crater Has Been on Fire for Almost 50 Years

หลุมอุกกาบาตบาร์ริงเกอร์ (Barringer Crater) ที่ทะเลทรายในเอริโซน่า จากเดิมมีการวิเคราะห์กันว่าเป็นการยุบด้วยสาเหตุของภูเขาไฟ แต่ต่อมาภายหลังมีการให้ข้อมูลใหม่ว่าเป็นหลุมที่เกิดจากอุกกาบาตชนโลก ความกว้าง 1,250 เมตร ลึก 174 เมตร (หลุมใหญ่ขนาดนี้ไม่มีเศษก้อนอุกกาบาตหลงเหลือให้เห็นเลย) 

Arizona's Jaw-Dropping Mile-Long Meteor Crater


#บทความเพิ่มเติม
61) ตอบคำถามเรื่องอุกาบาตและดาวตก

ข้อ 27) ในโมเดลโลกแบนมีโดมครอบโลกอยู่จริงหรือ? (นาทีที่ 26:39)

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเหนือท้องฟ้าขึ้นไปมีโดมครอบอยู่จริงหรือไม่ (เรียกว่า firmament) แต่สิ่งที่เรารู้คือในอารยธรรมโบราณหลาย ๆ อารยธรรมอธิบายลักษณะของโลกไว้สอดคล้องกันคือมีโดมครอบอยู่บนพื้นโลกที่มีลักษณะแบน และมีระบบจักรวาลแบบ Geocentric (โลกเป็นศูนย์กลาง) แม้แต่ข้อมูลในไบเบิลก็อธิบายถึงโดมไว้ (ข้อมูลในศาสนาพุทธก็เช่นเดียวกัน อ่านเพิ่มเติมได้ในลิงค์บทความด้านล่าง)

ข้อมูลที่เรารู้คือในทางการทหารมีการยิงขีปนาวุธขึ้นไปในอวกาศหลายครั้งตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 50 อย่างเช่น Operation Fishbowl (ปฏิบัติการอ่างเลี้ยงปลา) พวกเขายิงจรวดขึ้นไปและเกิดระเบิดกลางอากาศราวกับว่ามันชนเข้ากับโดม แต่อย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรเชื่อโดยที่ไม่มีหลักฐาน เพราะฉะนั้นแนวความคิดว่ามีโดมอยู่เหนือท้องฟ้ามีจริงหรือไม่ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด

กรณีเรื่องโดมนี่ในกลุ่มคนที่ศึกษาเรื่องโลกแบนก็จะมี 2 ฝั่งคือเชื่อว่ามีจริงและยังไม่เชื่อเพราะต้องการหลักฐานเพิ่มมากกว่านี้ แต่สำหรับกลุ่มคนที่เชื่อว่ามีจริงก็มีการวิเคราะห์ด้วยหลายเหตุผล เช่น
  1. ถ้าหากว่าไม่มีโดมครอบอยก็แปลว่ามนุษย์เราสามารถเดินทางออกไปนอกอวกาศได้จริง นาซ่าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องโกหกด้วยการใช้ภาพกราฟฟิกต่าง ๆ
  2. หากพิจารณาด้วยคุณสมบัติของแก๊ส แก๊สเป็นสสารที่ต้องการภาชนะบรรจุแบบระบบปิดและมีการหมุนเวียนในระบบอย่างต่อเนื่อง
  3. ด้วยสถานะของแก๊สที่มีคุณสมบัติในการแทนที่ทันที แก๊สจะไม่สามารถอยู่ใกล้กับสภาวะสุญญากาศได้โดยที่ไม่มีวัตถุมาขวางกั้น (barrier)


#บทความเพิ่มเติม
26) ความรู้เรื่องจักรวาลของชาวสยามในอดีต
47) Operation Fishbowl ปฏิบัติการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในชั้นอวกาศ

ข้อ 28) โลกแบนนี่เป็นเรื่องสำหรับคนที่เคร่งครัดศาสนาเท่านั้นหรือเปล่า? (นาทีที่ 27:32) 

คำตอบก็คือเรื่องโลกแบนไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะของคนที่เคร่งศาสนา แต่เรื่องโลกแบนเป็นเรื่องสำหรับมนุษย์ทุกคน ในกลุ่มชาวโลกแบนจะมีผู้คนหลากหลายความเชื่อและมีหลายศาสนา แต่ประเด็นหลักของเรื่องโลกแบนก็คือลักษณะของโลกที่เราอาศัยอยู่ จะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาเลยก็ได้โดยดูจากหลักฐานทั้งหมด มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจเรื่องโลกแบนได้และเราควรจะตื่นจากคำโกหกหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดนี้กันได้แล้ว

ข้อ 29) แล้วในไบเบิลกล่าวว่าโลกแบนจริงหรือ? (นาทีที่ 28:06)

ข้อมูลในไบเบิลกล่าวถึงโลกที่มีลักษณะแบนและไม่เคลื่อนที่ แต่ก็ไม่ได้บอกชัดเจนว่าโลกแบน ในไบเบิลไม่ได้กล่าวแค่เฉพาะเรื่องโดม แต่ยังบอกว่าโลกตั้งอยู่บนฐาน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีแสงในตัวเอง และกล่าวถึงสวนอีเดนที่เป็นเหมือนสวรรค์ที่มีแม่น้ำ 4 สายไหลออกมา ซึ่งเหมือนกับข้อมูลในแผนที่ของ Mercater projection ที่จะเห็นว่ามีแม่น้ำไหลออกมาจากทิศเหนือ 4 สายเหมือนกัน ไบเบิลถูกเขียนขึ้นมาก่อนระบบสุริยะจักรวาล (Heliocentric model) แล้วทำไมถึงให้ข้อมูลว่าโลกแบนและไม่มีการเคลื่อนที่

แผนที่เมอเคเตอร์ (Mercater Map) ถูกวาดขึ้นมาในปี 1569 โดย Gerard Mercator มีรายละเอียดบอกเกี่ยวกับลักษณะพื้นที่ของขั้วโลกเหนือชัดเจนว่ามีภูเขาสูงอยู่ตรงกลาง มีแผ่นดินล้อมรอบ 4 ด้าน และมีแม่น้ำไหลออกมา 4 สาย แล้วคั่นด้วยมหาสมุทรถึงเป็นแผ่นดินของทวีปต่าง ๆ โดยระบุชื่อแคนาดา กรีนแลนด์ ยุโรป รัสเซีย และเอเชีย


เข้าลิงค์นี้สามารถขยายภาพให้ใหญ่ได้ https://sanderusmaps.com/detail.cfm?c=12473

ข้อ 30) แล้วสมาคมโลกแบนล่ะ? (นาทีที่ 28:52)

กลุ่มสมาคมโลกแบนคือกลุ่มฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง (controlled opposition) แนวคิดในการมีกลุ่มแบบนี้ขึ้นมามีเบื้องหลังอย่างที่ Vladimir Lenin เคยกล่าวไว้ว่า "The best way to control the opposition is to lead it ourselves" (วิธีที่จะควบคุมฝ่ายตรงกันข้ามได้ก็คือการเข้าไปเป็นคนนำด้วยตัวเอง - วลาดีมีร์ อิลลิช เลนิน) หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือกลุ่มสมาคมลับจะมีการควบคุมผู้นำที่ต่อต้านพวกเขาอยู่ ยกตัวอย่างเช่น สมาคมโลกแบนนี่แหละ พวกเขาจะคอยให้ข้อมูลที่ดูตลกขบขันเพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่สนใจเพราะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ 

ดูตัวอย่างข้อมูลที่พวกเขาบอกไว้ เช่น พวกเขาบอกว่าแรงโน้มถ่วงไม่ได้เกิดเพราะความหนาแน่และแรงลอยตัวแต่เป็นเพราะโลกกำลังเคลื่อนที่สูงขึ้นด้วยความเร็ว 1g เท่ากับแรงโน้มถ่วงและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมสิ่งของที่หล่นลงมา ไม่ว่าใครก็ตามได้ยินข้อมูลนี้ย่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขันซึ่งก็ได้ผล คนที่ได้ยินก็จะไม่สนใจหาข้อมูลต่อ นั่นคือสิ่งที่สมาคมโลกแบนถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ

#บทความเพิ่มเติม
14) คำเตือน!! สำหรับคนที่สนใจศึกษาเรื่องโลกแบนให้ระวัง "หน้าม้า" และ "ฝ่ายค้านแบบจัดตั้ง"

-----------------------------------------------------

ตอนที่ 1) ข้อที่ 1 - 10
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/63-35-35-1-10.html

ตอนที่ 2) ข้อที่ 11 - 20 
 https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/64-35-35-11-20.html

ตอนที่ 3) ข้อที่ 21 - 30 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/65-35-35-21-30.html

ตอนที่ 4) ข้อที่ 31 - 35 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/67-35-35-31-35.html

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

64) ตอบคำถามเกี่ยวกับโลกแบน 35 ข้อ ภายใน 35 นาที (ข้อที่ 11-20)


35 Most Common Flat Earth Questions Answered in 35 Minutes

ข้อ 11) ทำไมดวงจันทร์ถึงกลับหัวในซีกโลกใต้? (นาทีที่ 9:02)

สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศทางซีกโลกใต้จะเห็นดวงจันทร์กลับหัว ต่างจากคนที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกเหนือที่จะเห็นดวงจันทร์ในทางตรงกันข้ามเพราะพวกเขามองดวงจันทร์จากคนละซีกโลกนั่นเอง 


ข้อ 12) แล้วภาพโลกที่ถ่ายจากอวกาศล่ะ? (นาทีที่ 9:39) 

ภาพโลกที่เราเห็นจากองค์กรนาซ่าคือภาพที่่ใช้โปรแกรม photoshop ตกแต่งมา ซึ่งมันเห็นได้อย่างชัดเจนและพวกเขาก็ยอมรับเองจากคำสัมภาษณ์ของนักออกแบบ Robert Simmon ที่กล่าวว่า "It is photoshopped, but it has to be." (มันถูกตกแต่งด้วยโปรแกรม photoshop แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ) นี่เป็นการพิสูจน์ว่าภาพโลกที่เห็นเป็นเพียงภาพปลอมที่ถูกตกแต่งด้วยวิธีกราฟฟิก หลังจากที่ทำการวิเคราะห์ภาพโลกหลาย ๆ ภาพ คุณจะเห็นว่ามีการทำซ้ำก้อนเมฆหลายครั้ง นอกจากนั้นยังมีคำว่า SEX ท่ามกลางก้อนเมฆอยู่ด้วย แม้แต่สีของมหาสมุทรยังแตกต่างกัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เคยบอกว่าโลกมีลักษณะกลมแป้นเหมือนลูกแพร์ (oblate spheroid) ซึ่งมันขัดแย้งกับภาพโลกของนาซ่าที่มีลักษณะกลมเกลี้ยง สรุปคือเราไม่เคยมีภาพโลกจริง ๆ จากอวกาศ มีเพียงแต่ภาพที่ถูกตกแต่งด้วยโปรแกรมโฟโต้ชอปซึ่งเราก็เชื่อว่านั่นคือภาพจริง 

ลองอ่านดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของนาซ่า ที่โรเบิร์ต ซิมมอนเคยให้สัมภาษณ์ไว้



คำถาม: สิ่งที่เจ๋งที่สุดที่คุณได้ทำจากการทำงานที่ Goddard

คำตอบ: ครั้งสุดท้ายที่มีคนถ่ายภาพโลกไว้ได้เป็นภาพจากปี 1972 เป็นภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นโลกครึ่งใบที่มาจากวงโคจรต่ำของโลก (low earth orbit วงโคจรรอบโลกที่อยู่สูงขึ้นไประหว่าง 160-2,000 กม.) ซึ่งมาจากโครงการอพอลโล 17 องค์กรนาซ่ามีดาวเทียม Earth Observing System (EOS) ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบสุขภาพโลก และในปี 2002 เรามีข้อมูลของโลกเพียงพอที่จะนำมาทำเป็นภาพโลกทั้งใบ เราก็เลยได้ทำมันออกมา ช่วงที่ยากที่สุดก็คือการทำแผนที่โลกแบบแบนให้เป็นพื้นผิวโลกจากข้อมูลดาวเทียมทั้งหมด 4 เดือน คนที่ทำงานมากที่สุดในส่วนนี้คือ Reto Stockli ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Swiss Federal Office of Meteorology and Climatology แล้วเราก็เอาภาพแผนที่โลกที่มีลักษณะแบนมาพันรอบลูกบอล ในส่วนที่ผมทำก็คือการประกอบส่วนต่าง ๆ ของพื้นผิวโลกก้อนเมฆ และมหาสมุทร เพื่อให้สมกับที่ผู้คนคาดหวังที่จะได้เห็นภาพโลกจากอวกาศ และนั่นก็กลายเป็นภาพโลกที่โด่งดังมากในชื่อว่า Blue Marble (หินอ่อนสีฟ้า) ผมมีความสุขกับมันมากและไม่เคยคิดว่ามันจะได้รับความนิยมอย่างมากมาย เราไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นจุดสนใจ ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะกลายเป็น Mr. Blue Marble
เราได้พัฒนาแผนที่พื้นฐานโดยการเพิ่มความละเอียด และในปี 2004 เราได้ทำภาพแผนที่เป็นซีรี่ส์ออกมาแบบรายเดือน

ดูภาพเทคนิคการแต่งภาพโดยวิธี copy และ paste ด้วยโปรแกรม Photoshop

  


  

โหลดภาพ Blue Marble จากนาซ่ามาดูเองได้ https://visibleearth.nasa.gov/images/57723/the-blue-marble

ข้อ 13) แสงจากดวงจันทร์คือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์จริงหรือ? (นาทีที่ 10:52) 

แสงจากดวงจันทร์มีความแตกต่างจากแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจันทร์มีอิทธิพลโดยตรงกับต้นไม้และอาหาร แม้แต่อุณหภูมิก็ยังแตกต่างในช่วงเวลากลางวันอุณหภูมิจะต่ำตอนที่เราอยู่ในร่ม แต่ในตอนกลางคืนถ้าเรายืนอยู่กลางแสงจันทร์อุณหภูมิจะเย็นกว่าเรายืนอยู่ในที่ร่มซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่แสงจันทร์คือแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์เพราะมันมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน แต่เป็นดวงจันทร์ที่มีแสงในตัวเองและดวงจันทร์มีลักษณะที่โปร่งแสง ดวงจันทร์ไม่ได้มีลักษณะเป็นก้อนหินทรงกลมเหมือนลูกบอลที่สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์อย่างที่เราถูกสอนมา หากว่าดวงจันทร์เป็นทรงกลมจริง เราต้องได้เห็นอีกด้านนึงของดวงจันทร์บ้างแต่ที่เราเห็นคือดวงจันทร์มีด้านเดียว นอกจากนั้นยังมีหลายคนที่ถ่ายภาพดวงจันทร์ที่มีแสงดาวทะลุออกมา และถ้าเราเห็นดวงจันทร์ในช่วงกลางวันเราจะเห็นสีฟ้าของท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลังของดวงจันทร์ อย่างสัญลักษณ์ของชาวมุสลิมและองค์กรฟรีเมสันที่จะมีดวงดาวอยู่กลางดวงจันทร์ 

การทดสอบอุณหภูมิของแสงจันทร์ด้วยวิธีง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน

Moonlight Temperature Test

ลักษณะการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์กับวัตถุทรงกลมเราจะเห็นจุด hot spot เฉพาะบริเวณที่นูนออกมาเป็นจุด highlight ส่วนบริเวณรอบ ๆ จะเป็นเงามืด ซึ่งต่างจากการเกิดแสงบนดวงจันทร์


ในคลิปนี้มีอธิบายว่ามีการบันทึกข้อมูลจากนักดาราศาสตร์หลายครั้งว่าเห็นแสงดวงดาวทะลุดวงจันทร์ และมีรูปถ่ายที่เห็นมาให้ดูด้วย เป็นภาพถ่ายของดวงจันทร์เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2015 แสดงให้เห็นว่ามีแสงของดวงดาวหลายดวงทะลุออกมาจากด้านมืดของดวงจันทร์ (นาทีที่ 1.20) 

Stars and Planets seen through the moon!

1) 7 มีนาคม 1794 นักดาราศาสตร์ 4 คน (3 คนจากเมืองนอร์วิชอีก 1 คนจากลอนดอน) เขียนในเอกสาร The Philosophical Transactions of the Royal Astronomical Society ไว้ว่า "saw a star in the dark part of the moon" เห็นดวงดาวจากด้านมืดของดวงจันทร์


2) เซอร์เจมส์ เซาธ์ จากหอดูดาวในเมืองเคนซิงตันเขียนไว้ในจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ไทมส์เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 1848 ว่า "The star, Instead of disappearing the moment the moon's edge came in contact with it, apparently glided on the moon's dark face, as if it had been seen through a transparent moon" (ดาวดวงนั้น แทนที่จะหายไปตอนที่ขอบของดวงจ้นทร์เข้ามาบัง แต่ปรากฎว่ามันฉายแสงออกมาจากด้านมืดของดวงจันทร์ ราวกับว่าเรามองเห็นมันผ่านดวงจันทร์ที่โปร่งแสง)


The Polytechnic Review and Magazine of Science, Literature, and the Fine Arts
by George G. Sigmond, M.D.


#บทความเพิ่มเติม
22) ว่าด้วยเรื่องดวงจันทร์
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/07/22.html

ข้อ 14) แล้วดวงดาวต่าง ๆ ล่ะ แล้วอวกาศมีอยู่จริงไหม? (นาทีที่ 12:18) 

คำตอบคือมีและไม่มี เห็นได้ชัดว่าแสงดาวจากท้องฟ้ากำลังวนรอบหัวเราอยู่ แต่อวกาศที่เราเชื่อว่ามีจริงนั้นไม่ใช่เรื่องจริง มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เราเชื่อเกี่ยวกับเรื่องอวกาศนั้นคือภาพยนตร์จากฮอลลีวูด หนังสือวิทยาศาสตร์ และองค์กรนาซ่า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าแสงบนหัวของเรานั้นคืออะไร แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือมันกำลังหมุนรอบเราอยู่ และเราเป็นศูนย์กลางของวงโคจร

ดูการหมุนของทางช้างเผือก Ptolemy ได้อธิบายระบบจักรวาลแบบ Geocentric ไว้ว่าโลกเป็นศูนย์กลาง อยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนที่ แต่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โคจรไปรอบโลก และการเคลื่อนที่ของดวงดาวมีลักษณะเคลื่อนไปพร้อมกันตามทรงกลมฟ้า (Celestial sphere) ที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง (arc)


Milkyway Timelapse Compilation - 2016 - in 4K

#ข้อสังเกตนาซ่าไม่เคยมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายดวงดาวแบบที่มีการเคลื่อนไหวมาให้ดู ขนาดเรามองด้วยตาเปล่าเรายังเห็นว่าดาวบนท้องฟ้ามีการกระพริบแสง แต่ภาพที่นาซ่าพยายามจะสื่อให้เห็นคือดวงดาวมีลักษณะเป็นวัตถุเหมือนก้อนหินไม่มีการกระพริบแสง


WANDERING STAR recorded WITH X83 NIKON P900 ZOOM Camera

#บทความเพิ่มเติม
39) ถ้าโลกแบนแล้วดาวอื่น ๆ แบนด้วยมั๊ย (Electric Universe / Plasma Universe / Electric Sky Theory)

ข้อ 15) ทำไมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถึงมองดูว่ามีขนาดที่เท่ากัน? (นาทีที่ 13:01) 

เรามองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ว่ามีขนาดเท่ากันก็เพราะว่ามันมีขนาดที่เท่ากัน แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่อยากให้เราเชื่อว่าการที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีขนาดเท่ากันเป็นเพราะดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ 400 เท่า และอยู่ไกลออกไปถึง 400 เท่า พวกเขาบอกว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเองว่าทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์กำลังโคจรอยู่บนหัวของเรา ทั้งยังมีขนาดที่เท่า ๆ กัน

ดวงอาทิตย์ในโมเดลสุริยะมีขนาดใหญ่มากและอยู่ไกลมาก



ระยะทางของดวงอาทิตย์ถูกคำนวณไว้จากนักดาราศาสตร์หลายคน Copernicus ซึ่งเป็นคนเสนอโมเดลจักรวาลแบบ Heliocentric ออกมาเมื่อ 500 ปีก่อน คำนวณไว้ว่าดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 3 ล้านไมล์ แต่ปัจจุบันตัวเลขเปลี่ยนมาเป็น 93 ล้านไมล์ ซึ่งมีความแปรปรวนของตัวเลขที่ได้จากการคำนวณแตกต่างจากเดิมถึง 31 เท่า!!!


ข้อ 16) แล้วการเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาล่ะ? (นาทีที่ 13:48) 

หลายคนโต้แย้งว่าโลกมีลักษณะกลมเพราะดูจากเงาที่เกิดบนดวงจันทร์ในขณะที่เกิดเหตุการณ์จันทรุปราคา พวกเขาบอกว่าดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ในแนวเดียวกันพอดี ทำให้โลกบังแสงจากดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดเงาบนดวงจันทร์แต่ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เนื่องจากมีเหตุการณ์จันทรุปราคาเกิดขึ้นกว่า 50 ครั้งในระยะเวลากว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา ที่ปรากฎว่าทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่เหนือเส้นขอบฟ้าทั้งคู่ ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในโมเดลระบบสุริยะ เพราะว่าดวงอาทิตย์จะต้องอยู่ด้านหลังโลกกลมอย่างพอดีโดยทำมุม 180 องศา เพื่อจะทำให้เกิดเงาบนดวงจันทร์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เงาบนดวงจันทร์จะเป็นเงาของโลก ในยุคโบราณมีคำอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าเกิดจาก "ราหู" หรือดวงอาทิตย์สีดำ ซึ่งเป็นเทห์ฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอน ราหูมีกายเป็นสีดำและเป็นสาเหตุของการเกิดคราส ดังนั้นเงามืดที่เกิดบนดวงจันทร์จึงไม่ใช่เงาของโลก แต่อย่างไรก็ตามการเกิดคราสทั้งสองแบบจะเกิดจากราหูจริงหรือไม่ ผมอยากให้มีหลักฐานมากกว่านี้ แต่นี่คือคำอธิบายจากยุคโบราณเกี่ยวกับการเกิดคราส (อ่านบทความที่แอดค้นคว้ามาให้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติม)

#บทความเพิ่มเติม
38) สุริยุปราคาและจันทรุปราคาในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/04/38.html


#ข้อสังเกตในโมเดลสุริยะมีการใช้แสงจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน 3 แบบ 
1) ตาเราเห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงแบบเป็นรัศมีออกจากจุดศูนย์กลาง
2) ในการอธิบายเรื่องการวัดขนาดของโลกในการทดลองของ Eratosthenesใช้แสงแบบเป็นเส้นขนาน
3) เวลาอธิบายเรื่องการเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาใช้แสงแบบมีการตัดกันเป็นมุมแทยง




ข้อ 17) แล้วอิทธิพลของแรง Coriolis effect ล่ะ? (นาทีที่ 15:23) 

สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกกลมมักเอามาอ้างว่าโลกหมุนจริงคือการหมุนวนของน้ำในอ่างล้างหน้าหรือในโถส้วมว่ามีการหมุนวนในทิศทางที่ต่างกันจากทั้งสองซีกโลก ในทางซีกโลกใต้น้ำจะหมุนวนไปทางตรงกันข้ามที่เราเรียกกันว่า Coriolis effect (วิทยาศาสตร์อ้างว่าในซีกโลกเหนือน้ำจะหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา และในทางซีกโลกใต้น้ำจะหมุนวนตามเข็มนาฬิกา) อย่างไรก็ตามเราสามารถสังเกตดูได้เองว่าเวลาปล่อยน้ำในบ้านหลังเดียวกันมีความแตกต่างกันอยู่เสมอ (หมายถึงบางครั้งหมุนวนซ้าย บางครั้งหมุนวนขวา)

ตัวอย่างจากในคลิปนี้ มีทั้งแบบหมุนวนทั้งสองด้าน และแบบที่ไม่มีการหมุนก็มี

SchoolFreeware Science Video 11 - Science Down The Drain - Is The Rotation From The Coriolis Force?

ส่วนในคลิปนี้ถ่ายจากแม่น้ำในเมืองนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา มีการเกิดน้ำวนสองจุดพร้อมกันและหมุนไปคนละทาง

Coriolis Effect Debunked


ข้อ 18) แล้วดาวดวงอื่นแบนด้วยไหม? (นาทีที่ 16:26) 

หากเราเปรียบเทียบภาพดวงดาวของนักถ่ายภาพสมัครเล่นกับภาพของนาซ่า เราจะเห็นชัดว่าภาพดาวเคราะห์จากนาซ่านั้นเป็นภาพที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแต่งภาพขึ้นมา เราไม่รู้ว่าดาวเคราะห์คืออะไรหรือมันมีรูปร่างลักษณะแบบไหนกันแน่นอกเสียจากว่ามันคือแสงที่อยู่บนท้องฟ้า ในยุคโบราณมีคำอธิบายเกี่ยวกับดาวเคราะห์ไว้ดังนี้ คำว่า planets มีความหมายว่า wandering stars หมายถึงเป็นกลุ่มดาวที่มีวงโคจรของตัวเอง ต่างจากดาวดวงอื่น ๆ ส่วนคำว่า planet ก็มาจากคำว่า plane (แปลว่าราบเรียบ) แล้วเพิ่มตัว t เข้าไป ดาวเคราะห์คือดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าหลายคนมักจะใช้เป็นข้ออ้างว่าดาวดวงอื่นกลมแล้วโลกก็ต้องกลมซิ ซึ่งนั่นไม่ใช่การให้เหตุผลที่ดีนัก

 เปรียบเทียบถ้าเราเห็นว่าลูกสนุ๊กเกอร์มันกลม แสดงว่าโต๊ะต้องกลมด้วย
ในโมเดลโลกแบนโลกคือโลก ดวงดาวคือดวงดาว โลกไม่ใช่ดวงดาว (ไม่ใช่ดาวเคราะห์) และดวงดาวไม่ใช่โลก

ข้อ 19) แล้วแรงโน้มถ่วงล่ะ? (นาทีที่ 17:26) 

ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเป็นแนวคิดที่มาจากสมาชิกฟรีเมสัน เซอร์ ไอแซค นิวตัน ที่อ้างว่าการที่สิ่งของตกจากที่สูงลงมาที่ต่ำเป็นเพราะแรงดึงดูดของโลก และให้เหตุผลว่าของชิ้นเล็กจะถูกของชิ้นใหญ่กว่าดึงดูดเข้ามา และแน่นอนว่าแรงดึงดูด/แรงโน้มถ่วงไม่เคยเกิดขึ้นบนโลก และนักวิทยาศาสตร์อ้างว่าเพิ่งได้มีการค้นพบคลื่นแรงโน้มถ่วง แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ที่ได้จากการทดลองใด ๆ แรงโน้มถ่วงดูท่าจะเป็นแรงที่ไม่แน่นอนและมีความช่างเลือก แรงโน้มถ่วงเป็นเหตุผลของการที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดึงเข้ามาที่จุดศูนย์กลางของโลกและแรงโน้มถ่วงยังเป็นเหตุผลที่ดาวเคราะห์ต่าง ๆ หมุนโคจรรอบดาวที่มีขนาดใหญ่กว่า มันเป็นไปได้อย่างไรที่แรงบางอย่างที่มีอิทธิพลมากขนาดที่สามารถดึงน้ำในมหาสมุทร ดึงตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ และผู้คนให้อยู่ติดกับโลกไว้ได้ แต่ก็อ่อนแอมากที่ปล่อยให้นก แมลง และเครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้อย่างอิสระเสรีในทุกทิศทาง มันเป็นไปได้อย่างไรที่แรงโน้มถ่วงจะดึงน้ำในมหาสมุทรไว้ไม่ให้กระเด็นออกไปในอวกาศ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เรือลำเล็ก ๆ จมได้ 

เราถูกสอนมาว่าแรงโน้มถ่วงคือเหตุผลที่ดวงจันทร์โคจรรอบดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์โคจรรอบดวงดาวอีกที แต่ด้วยแรงเดียวกันนี่เองที่ทำให้คนอยู่ติดกับพื้นโลกได้ หรือมันควรจะทำให้คนโคจรรอบโลกกันแน่ และมันควรจะเป็นแรงที่ดึงดูดดวงจันทร์และดาวอื่น ๆ ให้เข้าไปสู่ดวงอาทิตย์ หรือเป็นแรงที่ทำให้ดวงจันทร์และดาวอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์กันแน่ ซึ่งอิทธิพลของแรงทั้งสองมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โลกตามธรรมชาติรอบตัวเราสามารถอธิบายได้ด้วยกฎแห่ง "ความหนาแน่น" และ "การลอยตัว" ก็คือสิ่งของตกลงมาเพราะมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศที่อยู่รอบ ๆ หรือถ้าหากสิ่งของนั้นมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศรอบ ๆ ของสิ่งนั้นก็จะลอยขึ้นไปเหมือนลูกบอลที่อัดด้วยก๊าซฮีเลียม ความหนาแน่นและการลอยตัวเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งของถึงลอยหรือจม เราไม่สามารถหาแรงโน้มถ่วงเจอได้บนโลกแห่งความจริง มันเป็นเพียงสิ่งโกหกหลอกลวง

#บทความเพิ่มเติม
2) ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์ (Imperfection of Einstein's Theory of Relativity)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2017/12/blog-post.html

15) ที่มาที่ไปของระบบสุริยะ Heliocentric Model
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/04/15-heliocentric.html

19) แผนการยึดครองโลกของยิว
https://flatearthmatters.blogspot.com/2018/06/19_27.html

62) งานเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปี ของสมาคมฟรีเมสัน (31 ต.ค. 2017)
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/10/300.html

ข้อ 20) แล้วการเกิดฤดูกาลล่ะ? (นาทีที่ 19:29) 

ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลกขยับไปเรื่อย ๆ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ตรงบริเวณเส้น Tropic of Cancer (เส้นรุ้งเขตร้อนเหนือ) คือบริเวณที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด เป็นจุดศูนย์กลางของโมเดลโลกแบนก็จะเกิดฤดูร้อนในประเทศแถบนั้นและเป็นหน้าหนาวของประเทศที่อยู่ทางซีกโลกใต้ เมื่อดวงอาทิตย์ขยับมาลอยตรงบริเวณ Tropic of Capricorn ก็จะเป็นฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกใต้ และเป็นฤดูหนาวของทางซีกโลกเหนือ ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กและอยู่ใกล้โลกมากซึ่งไม่ใช่อย่างที่เราถูกสอนมา นั่นจึงเป็นเหตุผลของการเกิดฤดูกาล ถ้าหากว่าดวงอาทิตย์อยู่ห่างไกลมากถึง 93 ล้านไมล์ เราก็ไม่ควรรู้สึกถึงความแตกต่างของอุณหภูมิในระหว่างวัน (ระหว่างที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตกอุณหภูมิมีความแตกต่างกันมากถึง 10-20 องศา) และก็ไม่ควรมีฤดูกาลที่แตกต่างกันมากถึง 4 ฤดู


ลองศึกษาเพิ่มเรื่อง Solar Analemma และ Lunar Analemma จะสอดคล้องกับโลกที่มีลักษณะแบนมากกว่าโลกกลม เขียนรายละเอียดไว้ให้ในบทความด้านล่างนี้แล้ว



#บทความเพิ่มเติม
52) การโคจรของดวงอาทิตย์และการเกิดฤดูกาลในโมเดลโลกแบน
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/08/52_28.html

-------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 1) ข้อที่ 1 - 10
https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/63-35-35-1-10.html

ตอนที่ 2) ข้อที่ 11 - 20 
 https://flatearthmatters.blogspot.com/2019/12/64-35-35-11-20.html

ตอนที่ 3) ข้อที่ 21 - 30 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/65-35-35-21-30.html

ตอนที่ 4) ข้อที่ 31 - 35 
https://flatearthmatters.blogspot.com/2020/01/67-35-35-31-35.html