วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

71) วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น

วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น

ก. พัฒนาการของจักรวาลวิทยายุคใหม่ 
จักรวาลวิทยาที่สำคัญมีอยู่ 2 ระบบ คือ Geocentric และ Heliocentric


          1. Geocentric/ระบบศูนย์โลก คือ โลกหยุดนิ่งกับที่ อยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาล มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวโคจรไปรอบโลก...เป็นโมเดลยุคก่อนของอริสโตเติล โทเลมี และไทโคที่ถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้ว โดยในอดีตเราเคยยึดถือโมเดลนี้กันมานานกว่า 1,400 ปี โดยระบบศูนย์โลก/Geocentric ยังแยกออกเป็น 2 แบบ คือ โลกกลม และ โลกแบน


          2. 
Heliocentric/ระบบศูนย์อาทิตย์ คือ ดวงอาทิตย์อยู่ศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งมีโลกและดาวเคราะห์ต่างๆโคจรโดยรอบ...เป็นโมเดลยุคใหม่ที่เรายึดถือกันในปัจจุบัน โดยอารีตาคัสเป็นคนหนึ่งที่กล้าแย้งความคิดของอริสโตเติลว่าเป็นดวงอาทิตย์ต่างหากที่อยู่ศูนย์กลาง แต่ในตอนนั้นยังไม่ถูกยอมรับ ต่อมาโคเปอร์นิคัสนำเสนอโมเดลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1536 ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี ค.ศ. 1543 และเริ่มมีการยอมรับหลังจากนั้น โดยในช่วงแรกที่โคเปอร์นิคัสนำเสนอโมเดลศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทั้งดวงดาวและโลกยังมีวิถีโคจรเป็นวงกลมรอบๆดวงอาทิตย์ แต่โมเดลนี้กลับไม่สอดคล้องกับปรากฏการณ์ต่างๆ  ต่อมาจึงถูกปรับแต่งกันหลายครั้ง เช่น 
         - จากเดิมที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงใจกลางวิถีโคจร แต่มันไม่สอดคล้องกับระยะห่างดวงอาทิตย์ที่สังเกตได้ในช่วงตลอดทั้งปี จึงปรับให้ดวงอาทิตย์อยู่เยื้องศูนย์(เพื่อให้มีฝั่งที่โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และอีกฝั่งที่โลกอยู่ไกลกว่า)

          - ต่อมาเคปเลอร์เสนอว่าดาวเคราะห์ต่างๆโคจรเป็นวงรีโดยดวงอาทิตย์อยู่ที่จุดโฟกัสหนึ่งของวงรี(วงรีมี 2 จุดโฟกัส แต่วงกลมมีเพียงจุดเดียว) และอธิบายด้วยว่าดาวเคราะห์จะมีความเร็วในการโคจรไม่เท่ากัน ขึ้นกับระยะห่างโลกจากดวงอาทิตย์(ยิ่งห่างมาก ยิ่งโคจรช้าลง)


           - ปรับแนวแกนโลกให้เอียง 23.4 องศา เพื่ออธิบายการเกิดฤดูกาล / อาทิตย์อ้อมเหนือ-อ้อมใต้


          - ปรับระยะทางดวงอาทิตย์มายังโลก จาก 3 ล้านไมล์มาเป็น 104 ล้านไมล์และมาสรุป สุดท้ายที่ 93 ล้านไมล์แบบปัจจุบันซึ่งถูกใช้อ้างอิงเป็นหน่วยดาราศาสตร์(Astronomical Unit, AU)เพื่อใช้หาระยะทางดวงดาวอื่นๆ และปรับระยะทางดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะไปพร้อมๆกัน

          จะเห็นว่าระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ไม่ได้เริ่มต้นจากโมเดลที่สมบูรณ์แบบและแม่นยำตั้งแต่แรก แต่ถูกดัดแปลงหลายครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับปรากฎการณ์ต่างๆที่เราสังเกตได้(รวมถึงสอดรับกับทฤษฎีใหม่ๆที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น) จนสุดท้ายโมเดลนี้ดูสมเหตุสมผลสมจริงขึ้นมา แต่แล้วในปี ค.ศ.1929  เมื่อเอดวิน ฮับเบิลค้นพบ Redshift ที่อธิบายว่ากาแลกซี่ต่างๆเคลื่อนตัวออกจากโลกในทุกทิศทางซึ่งปรากฎการณ์นี้กำลังสนับสนุนความถูกต้องของโมเดลศูนย์โลก/Geocentric มันทำให้เขารู้สึกตระหนกจนต้องกล่าวยอมรับว่า ด้วยลักษณะที่ค้นพบนี้หมายความว่าเราได้ครอบครองตำแหน่งที่พิเศษในจักรวาลซึ่งก็คือ Central Earth ตามความเชื่อโบราณ สมมุติฐานนี้ไม่สามารถพิสูจน์หักล้างใดๆได้ มันช่างไม่น่าภิรมณ์เอาเสียเลย แต่เราจะยอมรับว่ามันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ดังนั้นเราจะไม่สนใจกับสิ่งที่ป็นไปได้ และจะต้องหลีกเลี่ยงตำแหน่งที่ไม่น่าพึงใจนี้ในทุกวิธีทาง ดังนั้นเพื่อทำให้มันดูเท่าเทียมเสมอกันและเพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสยดสยองในตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์นี้ เราจะแทนที่ด้วยพื้นผิวโค้งซึ่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่น”



          - ต่อมาปรากฏการณ์นี้ถูกบิดเบือนแล้วนำมาสนับสนุน Big Bang โดยแทนที่ตำแหน่งศูนย์กลางจักรวาลด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้ทุกๆกาแลกซี่ในจักรวาลมีความเท่าเทียมเสมอกัน ดังนั้นจากที่เคยเชื่อว่าดวงอาทิตย์ของเราอยู่ศูนย์กลางจักรวาล มันจึงถูกเปลี่ยนเป็นอยู่ศูนย์กลางระบบสุริยะเท่านั้น


           - ปัจจุบันเราเชื่อว่าระบบสุริยะเคลื่อนที่ไปรอบๆทางช้างเผือก(230 กม./วินาที) ทางช้างเผือกเคลื่อนที่ไปในอวกาศพร้อมกับคลัสเตอร์หลายชั้น (กลุ่มกาแลกซี่ประมาณ 20 กาแลกซี่ และไปพร้อมกลุ่มคลัสเตอร์อีก 640 กม./วินาที) เท่ากับระยะทาง 3.24 ล้านกม./ชม. หรือ 2.025 ล้านไมล์/ชม. ไม่เพียงเท่านั้นเอดวิน ฮับเบิล บอกอีกว่าจักรวาลเคลื่อนที่(หรือขยายตัวออกจากจุดระเบิด Big Bang เมื่อ14 พันล้านปีก่อน) ด้วยความเร็ว 68 km/s per megaparsec (ซึ่ง 1 megaparsec = 3.26-3.3 ล้านปีแสง) และมันไม่ได้คงที่ที่ 68 km/s ตลอดเวลา แต่มันมีความเร่ง 68 km/s ในทุกๆ 1 megaparsec (เช่น ถ้าห่างออกไป 2 หน่วย ความเร็วในการขยายจะเพิ่มเป็น 136 km/s  เมื่อห่างออกไป 3 หน่วยก็จะเพิ่มเป็น 204 km/s)

          ดังนั้นจากที่ดวงอาทิตย์เคยหยุดนิ่งกับที่ตรงศูนย์กลางจักรวาล แต่ในตอนนี้ดวงอาทิตย์(รวมถึงโลกของเราด้วย)กำลังเดินทางเร็วกว่าความเร็วแสง
!!

          แต่แล้วในปี
ค.ศ. 1963 ข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจักรวาลก็กลับมาเคาะประตูพวกเขาอีกครั้งด้วยการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล (Cosmic Microwave Background radiation, CMB)  ซึ่งในช่วงแรกนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่นิยม Big Bang รีบนำมาใช้ยืนยันทฤษฎีว่ามันคือสิ่งที่หลงเหลือจากการเกิด Big Bang  แต่ปี 1978 หลังจากวิเคราะห์รูปแบบแล้วมันกลับสร้างความลำบากใจให้พวกเขา เพราะแทนที่รังสีนี้จะกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วจักรวาลตามที่ทฤษฎีกล่าว มันกลับกระจุกเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างมีแบบแผน ไม่เพียงเท่านั้นรูปแบบของมันยังสอดรับกับระนาบและแนวแกนของโลก สิ่งนี้สร้างความระคายเคืองให้นักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะหาก Big Bang เคยเกิดขึ้นจริงด้วยความบังเอิญตามที่ทฤษฎีกล่าว จักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไม่ควรรับรู้การมีอยู่ของระนาบและแนวแกนของโลกเราเลย

          แม้มีความพยายามตลอด 3 ศตวรรษครึ่งเพียงเพื่อยืนยันว่าโลกไม่ได้อยู่ใจกลางจักรวาล ทั้งด้วยระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทั้งด้วย Big Bang แต่ข้อมูลนี้กำลังบอกว่าพวกเขาคิดผิด พวกเขาจึงส่งดาวเทียมขึ้นไปสำรวจเหนือบรรยากาศโลกทั้งด้วยต่างปฏิบัติการ ต่างวิธีการ ต่างทีม ต่างอุปกรณ์ โดยหวังว่าจะได้ผลลัพท์ที่ต่างออกไป แต่แล้วการส่งไปสำรวจในปี 1990 2001 แม้แต่ปีที่ 2009 กลับให้ผลลัพธ์เช่นเดิมเพียงแค่มีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น



          ปี 2007 มีวารสารทางวิทยาศาสตร์ขึ้นหน้าปกว่า "ทำไมระบบสุริยะของเราถึงมีแกนร่วมกับจักรวาล" และมีบทความลักษณะเดียวกันเรื่อยมาเช่นปี 2016 จนถึงทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังตอบไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร


          หลักจากทฤษฏีต่างๆออกมาเพื่อจะผลักโลกออกจากจุดศูนย์กลางจักรวาลให้จงได้ แต่เพราะการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล/CMB นี่เองที่ทำให้ Laurence Krauss หนึ่งในนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกจาก Arizona State University ถึงกับต้องพูดยอมรับว่า "...นั่นคงพูดได้เลยว่าเราอยู่ใจกลางจักรวาลอย่างแท้จริง"
ดู : CMB (Cosmic Microwave Background radiation) ที่ยืนยันว่าเราอยู่ศูนย์กลางจักรวาลhttps://www.youtube.com/watch?v=y2AwSIbtv38


ข. จักรวาลวิทยายุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น


“กฎฟิสิกส์ยอมให้โลกเกิดขึ้นได้จากความไม่มี ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อพระเจ้า” Laurence Krauss


"เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง  แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"


Stephen Hawking



          และแผนการทำให้คนคล้อยตามว่า "พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี" เริ่มต้นจากการบิดเบือนการกำเนิดโลกและจักรวาลนั่นเอง ทั้งที่มีหลักฐานมากมายจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจักรวาล(แบบGeocentric) แต่ฮอว์กิงกลับเลือกที่จะไม่รับมันเพราะเขาต้องการให้ทุกคนมีความเจียมเนื้อเจียมตัวและไม่คิดว่ามนุษย์ถูกบังเกิดมาอย่างพิเศษบนโลกใบนี้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อทำให้เรายอมรับว่า "โลกใบนี้ไม่จำเป็นต้องถูกบังเกิดจากผู้ทรงสร้าง"

          ฮอว์กิงเคยกล่าวอีกว่า "ทุกหลักฐานบ่งชี้ว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกที่อธิบายว่า กาแลคซี่อื่นๆก็เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานนี้ก็ตาม แต่เราจะยึดมั่นอยู่บนฐานการเจียมเนื้อเจียมตัว(ไม่ยอมรับในความพิเศษและเฉพาะเจาะจงของโลกใบนี้) เพราะมันจะโดดเด่นมากเกินไปถ้าปรากฏการณ์นี้เห็นได้เฉพาะบนโลก แต่ไม่เห็น ณ จุดอื่นใดในจักรวาล"  

          ในความเป็นจริงแล้วปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติสามารถอธิบายได้ด้วยจักรวาลทั้งสองระบบอย่างไม่ผิดเพี้ยนซึ่งฮอว์กิงเองก็ยอมรับข้อนี้ "แล้วอะไรที่เป็นจริงระหว่างระบบของโทเลมี(แบบศูนย์โลก) กับโคเปอร์นิคัส(แบบศูนย์อาทิตย์)? ถึงแม้ว่าไม่ค่อยมีใครพูดว่า โคเปอร์นิคัสพิสูจน์แล้วว่าโทเลมีผิด แต่นั่นไม่จริงเลย เราสามารถใช้โมเดลไหนก็ได้กับสังเกตการณ์ของชั้นฟ้า โดยสมมุติว่าโลกหยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง) หรืออาทิตย์หยุดนิ่ง(อยู่ที่ศูนย์กลาง)ก็ได้"



          ยังมีอีกหลายคนที่กล่าวในทำนองเดียวกัน เช่น Kitty Ferguson, นักวิทยาศาสตร์และนักเขียน "เป็นไปได้ที่จะอธิบายจักรวาลทั้งหมดโดยใช้จุดใดก็ได้เป็นศูนย์กลางที่หยุดนิ่ง ซึ่งถ้าเลือกใช้โลกก็จะได้ผลชัดเจนมาก และไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าการเลือกนั้นผิด แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชอบที่จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ และทำให้ไม่มีอะไรโดดเด่นอยู่ตรงศูนย์กลาง หากคุณไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับนัยของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 คุณอาจจะรู้สึกผิดหวังที่จะตระหนักว่าตามแนวคิดของการเคลื่อนที่เชิงสัมพัทธ์ ไม่มีใครเลยสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกเคลื่อนที่"

         การกล่าวเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า พวกเขายอมรับว่าโลกหยุดนิ่งอยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เราพิสูจน์ได้ แต่เขาเลือกที่จะนำ "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" มาใช้ เพื่อจะไม่ต้องยอมรับว่าเราอยู่ในจุดที่พิเศษเช่นนั้น ดังนั้นนอกจาก "ระบบศูนย์อาทิตย์" และ "Big Bang" แล้ว "ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว" ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า "เราอยู่ในจุดพิเศษที่ศูนย์กลางจักรวาล" นั่นเอง
               
          นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายๆคนที่กล่าวยืนยันว่า "โลกหยุดนิ่ง อยู่ใจกลางจักรวาล" (แบบGeocentric)

           ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 มีการทดลองมากมายที่ยืนยันว่า “โลกไม่ได้หมุนแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่” และนี่คือ 5 การทดลองโด่งดังที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก
               
- MICHELSON-MORLEY
                - MICHELSON-GALE
               
- SAGNAC EFFECT
                - AIRY’S FAILURE
                - ALLAIS EFFECT
               
          แต่เหตุผลที่เรายอมรับกันว่า "โลกหมุน" นั้นเกิดจากการยอมรับทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอนสไตน์ซึ่งกำลังอธิบายว่า “ภายใต้กรอบอ้างอิงเฉื่อยผู้สังเกตที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่จะไม่สามารถทำการทดลองใดๆเพื่อหาการเคลื่อนที่ได้” เพียงเพื่อยืนยันว่าโลกหมุนแต่เราไม่สามารถสังเกตและรู้สึกถึงการหมุนได้  และเพราะทฤษฎีนี้นี่เองที่ทำให้ไอนสไตน์ได้รับการยกย่องจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะในความจริงแล้วเขาคือนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่สามารถกอบกู้โลกให้หลุดพ้นจากการต้องยอมรับว่าโลกหยุดนิ่งได้สำเร็จนั่นเอง  แต่สิ่งที่คนทั้งโลกลืมไปก็คือ ทฤษฏีสัมพันธภาพของไอนสไตน์มันเป็นเพียง "ทฤษฏี" เท่านั้นไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง"

ดู :  
"ฉันสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมาอย่างไร"  บทความจากการบรรยายของไอน์สไตน์ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 1922 โดย Yoshimasa A. Ono https://courses.physics.ucsd.edu/2012/Winter/physics2d/einsteinonrelativity.pdf?fbclid=IwAR1AHGDMRyNZIguk1G4jXN2xi688Ol63XngQdljLDSmjXxFX6ihA3Eb9BqY
ดู : ไอสไตน์ทำให้โลกหมุนได้อย่างไร? (ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่หมุน)

          นิโคล่า เทสล่าเคยวิจารณ์ทฤษฎีของไอน์สไตน์ไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ช่างเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์และหลอกลวง เป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อวิทยาการและสามัญสำนึกของคนยุคก่อน

          "
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์เป็นอาภรณ์ทางคณิตศาสตร์ที่ดูงดงามน่าลุ่มหลงและแพรวพราวซะจนทำให้ผู้คนตาบอดจนมองไม่เห็นความผิดพลาดทั้งหลายในนั้น ทฤษฎีนี้มันเหมือนขอทานที่แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีม่วง แล้วคนเขลาต่างยกย่องให้เป็นพระราชา บรรดาผู้ที่อธิบายทฤษฎีนี้ต่างเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่พวกเขาน่าเป็นนักฟิสิกส์เชิงปรัชญามากกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์"  (นิโคลา เทสลา หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ 11 ก.ค. 1935)

          มีการลงชื่อไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของไอน์สไตน์จากนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียและเยอรมันกว่า 100 คนในหนังสือ Hundert Autoren Gegen Einstein (One Hundred Authors Against Einstein) และยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้
ดู : ความไม่สมบูรณ์ของทฤษฎีไอน์สไตน์ 

          “คุณไม่สามารถพิสูจน์หักล้างระบบศูนย์โลก/Geocentricได้ คุณทำได้เพียงแค่ผลักไสมันออกจากขอบเขตปรัชญาเท่านั้น ในมุมมองของผมมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ ข้อเท็จจริงที่เรากำลังใช้เงื่อนไขทางปรัญชาในการเลือกโมเดลของเรา ซึ่งมีหลายอย่างที่จักรวาลวิทยายุคใหม่พยายามซุกซ่อนไว้”  George F.R. Ellis  

          จะเห็นว่า ระบบศูนย์โลก/Geocentric เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการยอมรับ พวกเขาจึงสนับสนุนระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric และ Big Bang แล้วต่อมาก็ประดิษฐ์ปรัชญาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาอีก เพื่อปัดโลกออกจากศูนย์กลางจักรวาลซึ่งมันทำให้เราเชื่อว่ามันไม่มีอะไรสลักสำคัญอยู่ตรงใจกลาง เพราะหากคนเราเชื่อว่าโลกอยู่ศูนย์กลางจะเกิดคำถามต่อว่า มีพลังอำนาจอะไรที่ทำให้โลกเราอยู่ตรงตำแหน่งที่พิเศษเช่นนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การค้นหาว่าเราถูกบังเกิดมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย และไม่ควรใช้ชีวิตไปวันๆตามกระแส และจะทำให้เราต้องยอมรับต่อ Intelligent Design ในที่สุด การยอมรับในระบบศูนย์โลก/Geocentric(ไม่ว่าโลกจะกลมหรือแบนก็ตาม) จึงเป็นการยอมจำนนต่อการมีอยู่ของผู้สร้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนั่นคือนัยที่นักวิทยาศาสตร์อย่างฮอว์กิงต้องการให้เราคล้อยตามดังที่เขาเคยพูดไว้ว่า  "เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี"

           เพราะระบบศูนย์โลก/Geocentric คือสิ่งที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ต่างๆทั้งไบเบิล, กุรอาน, Book of Enoch, วิษณุปุราณะ, ไตรภูมิพระร่วง, เฮอร์เมส ธอธ รวมถึงความเชื่อของชนพื้นเมือง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ได้ดิสเครดิตสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความเชื่อที่ล้าหลัง และยกย่องระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric(รวมถึง Big Bang ในเวลาต่อมา) ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่นำสมัย ในปี 1881 Friedrich Nietzsche จึงได้แต่งบทประพันธ์ที่มีเนื้อหาว่า "ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา เราได้ตัดขาดจากพระเจ้าและลอยอยู่กลางอวกาศซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเราได้ฆ่าพระเจ้าไปเสียแล้ว"  ซึ่งเขาใช้ “พระเจ้าตายแล้ว(God Is Dead)”  ในความหมายว่า “ความเจริญทางศิลปวิทยาการที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นได้ทำลายความเป็นไปได้ในการมีอยู่ของพระองค์ไปแล้ว” และเมื่อไม่มีพระเจ้ามนุษย์ก็สามารถตั้งตนขึ้นเป็นพระเจ้าได้เอง ต่อมาในปี 1960 มันถูกนำมาใช้ตั้งชื่อกลุ่มเคลื่อนไหว "พระเจ้าได้ตายไปเสียแล้ว" (The God Is Dead Movement) ซึ่งทำให้เกิดผู้ที่ละทิ้งศาสนาเดิมของตนเอง รวมถึงเกิดเอทิสท์(ผู้ปฏิเสธพระเจ้า/Intelligent Design)ขึ้นมากมายหลากหลายแขนงจนถึงทุกวันนี้  



          หมายเหตุ : สำหรับชาวคริสต์และมุสลิมนั้นมีความชัดเจนในความศรัทธาต่อพระเจ้าอยู่แล้ว  ส่วนชาวพุทธอาจจะพบคำตอบจากพุทธทาสภิกขุเกี่ยวกับไกวัลยธรรม โดยมีความคล้ายคลึงกับพระเจ้าของศาสนาอื่นๆ กล่าวคือ
      1. "ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็น "กฏ" อันเป็นที่รองรับปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งปวง
      2. เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวงและอยู่หลังสิ่งทั้งปวง ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีความสิ้นสุด
 อันมีสภาพที่ไม่รู้จักเกิดแก่เจ็บตาย  สิ่งใดที่เกิดมาทีหลังไกวัลย์ย่อมดับหายไปในไกวัลย์ แต่ไกวัลย์ก็ยังมีสภาพเป็นอย่างเดิม ทั้งก่อนและหลังสิ่งทั้งปวงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งตรงข้ามกับสังขารทั้งปวง ในเมื่อสังขารทั้งปวงเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้านำความยึดมั่นในสังขารทั้งปวงออกไปก็จะพบความสุข
      3.
 พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเกิดขึ้นในโลกกี่ล้านองค์ก็ตาม แต่ "สิ่งนั้น” ก็ยังตั้งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง “สิ่งนั้น” จึงมิใช่พระพุทธเจ้า แต่ผู้ใดมาพบ “สิ่งนั้น” เข้าจะได้นามว่าเป็นพระพุทธเจ้า “สิ่งนั้น” คือ "ไกวัลยธรรม" อันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ตลอดกาล.
      4.  "พระเจ้า" ก็ควรหมายถึง "ไกวัลย์" ในฐานะที่เป็นสิ่งตั้งอยู่ตลอดกาลและเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงและสิ่งทั้งปวงก็มาจาก "ไกวัลย์" อาศัยไกวัลย์เพื่อตั้งอยู่ แล้วสิ่งทั้งปวงก็ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งพระเจ้า ฉะนั้น "พระเจ้า" จริงๆแล้วจึงหมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีชื่อเรียกรวมไปว่า "ธรรมธาตุ" แปลว่า "ความมีอยู่แห่งธรรม"
      5.
"ไกวัลยธรรม" คือสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวอันเต็มเปี่ยมและมีอยู่ทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง นั่นคือมีอยู่ในทุกศาสนา
      6.
การที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง "ไกวัลย์" ได้ก็เพราะมัวหลงใหลมัวเมาอยู่กับฟองคลื่นแห่งวัฏฏสงสาร อันสำเร็จมาจากการตกจมอยู่ในรสอร่อยทางเนื้อหนัง ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นตัวสร้างความทุกข์ สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น เมื่อมนุษย์สามารถรู้จักและเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะทำให้สามารถแก้ปัญหาแห่งความทุกข์ได้ทุกปัญหา และมีความเป็นมิตรหรือเป็นอันเดียวกับทุกคน เพราะ "ไกวัลยธรรม" เป็นทั้งหมดของทุกสิ่ง
ดู
: http://www.buddhadasa.com/kaival/kaival1.html
           นี่คือความจำเป็นที่เราต้องศึกษาให้รู้จัก “พระเจ้า” หรือ "ไกวัลยธรรม"  เพื่อเข้าถึงความจริงแท้ ซึ่งวิทยาศาสตร์และวิทยาการยุคใหม่กำลังทำให้เราออกห่างจากความจริงนี้ 



---------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2) ระบบ Heliocentric กับลัทธิ​ Lucifer​ian และ New​ World​ Order​
http://flatearthmatters.blogspot.com/2020/05/72.html

1 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องนี้ไม่มีอะไรยาก
    แค่ให้คำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ต่าง ๆ ว่าในอนาคตอีกกี่วันกี่เดือนกี่ปีข้างหน้า ดาวเคราะห์นั้นจะอยู่ในตำแหน่งไหนได้อย่างแม่นยำที่สุด
    ซึ่งทฤษฏีที่ไม่สามารถคำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ได้เลยคือทฤษฏีที่มีความน่าเชื่อถือต่ำสุด
    ส่วนทฤษฏีที่สามารถคำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ได้แม่นยำที่สุดคือทฤษฏีที่มีความน่าเชื่อถือมากสุด

    อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ที่บางทฤษฏีอาจจะคำนวณได้แต่ยังคำนวณได้ไม่แม่นยำมากพอ
    แต่อย่างน้อยที่สุดหากมันสามารถคำนวณอย่างคร่าว ๆ ได้
    ก็ย่อมจะมีความน่าเชื่อถือว่าทฤษฏีที่ไม่แม้แต่จะสามารถคำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ได้อย่างแน่นอน

    เพราะทฤษฏีมีเพื่อให้มัน "สามารถอธิบายปรากฏการณ์และนำมาใช้ได้จริง"
    ถ้ามันไม่สามารถใช้ได้จริง ก็แปลว่าทฤษฏีนั้นผิดทั้งหมด
    ถ้ามันใช้ได้จริงระดับหนึ่ง ก็แปลว่าทฤษฏีนั้นถูกหลายส่วนแต่ผิดบางส่วน
    ถ้ามันใช้ได้จริงอย่างแม่นยำ ก็แปลว่าทฤษฏีนั้นถูกแน่ ๆ

    ไม่ควรเอาเหตุผลอื่นใดมาชักแม่น้ำทั้งห้าให้กลับผิดเป็นถูกไปจากนั้น

    ตอบลบ