สัณฐานโลก..กับ..มนุษย์ต่างดาว
ในอดีตนักปรัชญาชาวกรีกมีทั้งที่เชื่อว่าโลกแบนและโลกกลม โดยเชื่อเช่นนั้นมาตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตศักราช แต่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่กลับนำเสนอเฉพาะฝั่งที่เชื่อว่าโลกกลม เช่น
- อริสโตเติลที่เชื่อว่าโลกกลมด้วยสมมติฐานจากการเห็นเรือใบลับขอบฟ้า / การสังเกตเงาบนดวงจันทร์ในช่วงจันทรุปราคา / การไม่สามารถมองเห็นดวงดาวพร้อมๆกันจากพื้นที่ต่างๆบนโลก
- เอราทอสเธนีสเชื่อว่าโลกกลมและพยายามวัดหาขนาดโลกผ่านการสังเกตเงาของเสา
ซึ่งสมมติฐานเหล่านี้ถูกนำมาบรรจุในหนังสือ การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (De Revolutionibus Orbrium Codestium หรือ On the Revolutions of the Heavenly Bodies หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Revolutions) ของโคเปอร์นิคัสในช่วงปี 1543 และนี่คือตัวอย่างโมเดลโลกกลมของชาวกรีก
- อริสโตเติลที่เชื่อว่าโลกกลมด้วยสมมติฐานจากการเห็นเรือใบลับขอบฟ้า / การสังเกตเงาบนดวงจันทร์ในช่วงจันทรุปราคา / การไม่สามารถมองเห็นดวงดาวพร้อมๆกันจากพื้นที่ต่างๆบนโลก
- เอราทอสเธนีสเชื่อว่าโลกกลมและพยายามวัดหาขนาดโลกผ่านการสังเกตเงาของเสา
ซึ่งสมมติฐานเหล่านี้ถูกนำมาบรรจุในหนังสือ การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (De Revolutionibus Orbrium Codestium หรือ On the Revolutions of the Heavenly Bodies หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Revolutions) ของโคเปอร์นิคัสในช่วงปี 1543 และนี่คือตัวอย่างโมเดลโลกกลมของชาวกรีก
แต่ความเชื่อว่า “โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์” นั้นมีมาตั้งแต่ยุคสุเมเรียน-บาบิโลเนียนตั้งแต่ 4,500-6,000 ปี โดยเราสามารถเห็นได้จากแผ่นหินสลัก ถึงแม้รูปดวงดาวจะยังไม่เข้าสัดส่วน แต่รูปแบบนี้สอดคล้องกับดาราศาสตร์ยุคใหม่ที่เรายึดถือกันในปัจจุบัน ข้าง ๆ นั้นมีรูปสลักเทพเจ้าแห่งดวงดาว/Anunnaki (แปลว่าสวรรค์ที่ลงมายังโลก) ซึ่งเทพ Enki นั่งบนเก้าอี้ โดยเทพเหล่านี้เดินทางมายังโลกผ่านประตูสู่ดวงดาว (Star Gate) นี่คือหลักฐานว่าระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric อยู่คู่กับความเชื่อของผู้ที่บูชาดวงอาทิตย์และบูชาดวงดาวมาตั้งแต่แรกเริ่มบนหน้าประวัติศาสตร์
จากแผ่นจารึกของชาวบาบิโลนซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์บริติชทำให้ทราบว่าความรู้ด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ทั้งของอียิปต์และของกรีกนั้นหยิบยืมมาจากบาบิโลนเพราะชาวบาบิโลนมีการบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบด้วยภาษาคูนิฟอร์มที่บอกเล่าถึงสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆผ่านหน้ากลุ่มดาวจักราศี 12 กลุ่ม พวกเขาได้ตั้งชื่อ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าทั้งห้าดวงซึ่งกลายมาเป็นชื่อวันต่างๆในสัปดาห์ที่เราได้ใช้กันอยู่
ดู : A consideration of Babylonian astronomy within the historiography of science โดย Francesca Rochberg http://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.574.7121&rep=rep1&type=pdf
ชาวบาบิโลนยังมีศาสนาแบบ Pantheistic คือเชื่อในเรื่องพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งนักวิชาการบางคนบอกว่ามีถึง 2,000 องค์โดยเปรียบเทียบดวงดาวต่าง ๆ ให้เป็นเทพเจ้า ที่ในปัจจุบันเรียกเทพเจ้าเหล่านั้นว่า “พระเจ้าจากต่างดาว/ Alien God” ซึ่งก็คือ “มนุษย์ต่างดาว” นั่นเอง
Alien-UFO
เราเคยได้ยินคำว่า "เทพเจ้าแห่งดวงดาว" ที่ชาวบาบิโลนบูชา แต่คนทั้งโลกไม่เคยรู้จักคำว่า "มนุษย์ต่างดาวและจานบิน" มาก่อนเลยจนมีเหตุการณ์จานบินตกที่ Roswell ในปี 1947 ซึ่งจานบินเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ได้ทำการทดลองมาตั้งแต่ยุคนาซี และได้ส่งต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังสหรัฐผ่าน Operation Paperclip และไปยังรัสเซียในเวลาต่อมาเพื่อเข้าสู่ Space Race กับสหรัฐ
ยานพาหนะชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับจานบินที่รัสเซียพยายามพัฒนาอยู่ในชื่อว่า Lokomoskyner สร้างโดยบริษัท LocomoSky Company ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล
"Flying Saucer" development in Russia
แต่ Alien, UFO คืออะไร มีจริงหรือไม่ ?
โมเดล "โลกแบน" และ "โลกกลม" ให้คำตอบที่แตกต่างกัน
โมเดล "โลกแบน" และ "โลกกลม" ให้คำตอบที่แตกต่างกัน
ประเด็นของโลกแบน
เนื่องจาก “โลกแบน คือ ดินแดนแห่งหนึ่ง-หยุดนิ่งกับที่-เป็นศูนย์กลางจักรวาล” เป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิล กุรอาน Book of Enoch วิษณุปุราณะ ไตรภูมิพระร่วง เฮอร์เมส ธอธ และชนพื้นเมืองต่างๆ
ด้วยข้อมูลเช่นนี้ทำให้โมเดลโลกแบนตามคัมภีร์มีมุมมองว่า...
1) เนื่องจากอยู่ใจกลางจักรวาล โลกจึงเป็นดินแดนที่ไม่เหมือนสถานที่ใดในจักรวาล
2) โลกเป็นระบบปิดด้วยชั้นฟ้าโค้งรูปโดมอันแข็งแกร่ง เราจึงออกไปไม่ได้ และสิ่งอื่นก็ลงมายังโลกไม่ได้ ยกเว้นผู้ที่พระเจ้าประสงค์ เช่น ชาวฟ้า ซึ่งหมายถึง เทวดา เทวทูต ทูตสวรรค์ ไม่ใช่อยู่บนดวงดาว แต่พวกเขาอยู่เหนือโดมนั้น (ซึ่งคริสต์เชื่อว่าโดมมี 1 ชั้น พุทธเชื่อมีสวรรค์ 6 ชั้น ส่วนมุสลิมเชื่อว่าชั้นฟ้ามี 7 ชั้น)
ลักษณะของจักรวาลตามคัมภีร์ของชาวคริสต์
ลักษณะของเอกภพตามคติพุทธ บรรยายไว้ในเอกสารไตรภูมิพระร่วง
ชั้นฟ้าตามความเชื่อชาวเปอร์เซียโบราณ
ข้อสังเกต
1) ท้องฟ้าภายในโดมชั้นที่ 1 มีขอบเขตจำกัด ดังนั้น Outer Space / Deep Space หรือห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ชวนเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่ขัดกับข้อมูลของแต่ละศาสนา
2) ดวงดาวต่าง ๆ เป็นเพียงแสงพลาสม่าซึ่งมีสถานะเป็นก๊าซที่มีประจุไฟฟ้าและมีอุณหภูมิสูง ดวงดาวเหล่านั้นจึงไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตดู : ดวงดาวคือพลาสม่าของ Electric Universe
3) มนุษย์ต่างดาวเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอีกมิติบนโลกนี้ (ไม่ใช่มาจากดาวดวงอื่น) ซึ่งมีข้อมูลที่อธิบายว่าเราสามารถมองเห็นได้ที่ 430-770 Thz และสามารถได้ยินเสียงที่ 20hz-20Khz เท่านั้น จึงยังมีคลื่นอีกมากมายที่ตาและหูของเราไม่สามารถเข้าถึงได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจึงอาจอยู่ข้าง ๆ ตัวเราบนโลกนี้ (ไม่ใช่มาจากดาวดวงอื่น)
ประเด็นของโลกกลม
และสาเหตุที่ทำให้เราเริ่มเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงเกิดขึ้นในปี 1947 จากเหตุการณ์จานบินตกที่ Roswell และการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในระบบสุริยะอื่น ๆ ถูกทำให้เชื่อว่าเป็นไปได้ในปี 1990 เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เราได้เรียนรู้บางอย่างที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูน่าตื่นเต้นกว่าเดิม ดวงดาวไม่ได้เป็นเพียงจุดที่ส่องแสงระยิบระยับ แต่ที่จริงแล้วมันคือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ ๆ...” เพราะเมื่อเรายอมรับว่าดวงดาวมากมายเหล่านั้นคือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ ๆ เหมือนกับระบบสุริยะของเรา เราก็จะเข้าใจได้ว่าชีวิตจากต่างดาวก็ต้องมีอยู่จริงๆได้ไม่ต่างจากระบบสุริยะของเรา
ดู : TWAS newsletter YEAR 2009, VOL.21, No.1, 2009, Page 12
ทีมศิลปินของ NASA เคยยอมรับว่า “ภาพดวงดาวต่างๆที่ NASA นำเสนอทั้งหมดนั้นเป็นภาพ CGI (ภาพตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิค)”
และภาพจากดาวเทียม Hubble ศิลปินก็ใช้ CGI ในการแต่งภาพเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง Carl Sagan เคยกล่าวว่า “ฉันไม่รู้มาก่อนว่าดาวดวงอื่น ๆ มีลักษณะอย่างไร จนฉันมาเจอภาพวาดของ Bonestell” มันน่าตกใจหรือไม่ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์กลับนำจินตนาการของศิลปินมาใช้อ้างอิงราวกับเป็นข้อเท็จจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอะไรคือหลักฐานยืนยันว่า ดวงดาวอื่น ๆ มีองค์ประกอบเหมือนโลก...ดังสมมุติฐานของอาแนกซาเกอเริส ? และถ้าความจริงมันเป็นเพียงพลาสม่า...แล้วดวงดาวเหล่านั้นจะมีสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร ?
ในขณะเดียวกัน “มนุษย์ต่างดาว” นั้นมีความคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตในอีกมิติตามความเชื่อของคนยุคก่อน จึงทำให้เราเข้าใจได้ว่ามนุษย์ที่มาจากดาวดวงอื่นไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริงแต่เป็นเพียงสิ่งมิชีวิตในอีกมิติบนโลกนี้เท่านั้นเอง และนี่คือความคล้ายคลึงดังกล่าว
1) Grey Alien : ซาตาน (คริสต์ อิสลาม)
Aleister Crowley เป็นชาวอังกฤษ เขาละทิ้งศาสนาคริสต์ของครอบครัวและตั้งชื่อตัวเองว่า "The Beast 666" (สัตว์ร้าย 666 ตามที่ไบเบิลกล่าวถึง) แล้วก่อตั้งศาสนาแห่ง Thelema (ศาสนานิยมความเร้นลับ) โดยระบุว่าตนเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้รับมอบหมายให้นำมนุษยชาติเข้าสู่ Æon of Horus (ซึ่งควบคุมโดยพระบุตรฮอรัส) ในอิออนใหม่นี้เทเลมิทเชื่อว่ามนุษยชาติจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการตระหนักรู้ในตนเองและการทำให้เป็นจริงได้ด้วยตนเอง (ซึ่งคล้ายๆกับ Enlightenment/การตรัสรู้ตามความเชื่อของลัทธิ New Age)
LAM (ภาพทางซ้าย) คือลักษณะของซาตานที่ Crowley หมายถึง เปรียบเทียบกับมนุษย์ต่างดาวสายพันธ์เกรย์ (ภาพทางขวา) Crowley ยังกล่าวอีกว่า “วันนี้คนเรียกสิ่งนี้ (LAM)ว่าเทวดาและมารร้าย แต่พรุ่งนี้คนจะเรียกสิ่งนี้ด้วยชื่ออื่น”
2) มนุษย์ต่างดาวรูปพลังงาน : วิญญาณ (พุทธ) / ญิน (อิสลาม)
ในการติดต่อสนทนากันตอนหนึ่ง ดร.แอนดริจา ตั้งคำถามทอมผู้แทนมนุษย์ต่างดาวติดต่อทางโทรจิตผ่านมาทางนางฟิลลิสให้อธิบายว่าตนเองเป็นใคร หรือเป็นอะไร ... คำตอบของทอม ผ่านออกมาจากปากของนางฟิลลิส ซึ่งอยู่ในสภาพหลับอยู่ใต้การสะกดว่า "เราไม่ใช่สิ่งมีตัวตนที่จับต้องได้ แต่เราสามารถแสดงตัวตนให้จับต้องได้ และแลเห็นได้โดยผ่านทางร่างสังเคราะห์เทียมเมื่อจำเป็นต้องทำ มันเป็นการยากที่เราจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจได้ชัดเจนว่าเรามีรูปร่างในลักษณะใดก็ได้ เราสามารถแสดงรูปร่างของมนุษย์ได้ เราอาจจะแสดงตัวในรูปร่างของพลังงานที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็ได้ เราได้มีวิวัฒนาการไปไกลเหนือจุดแห่งความต้องการยึดเหนี่ยวทางร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุ เราไม่มีความต้องการร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อหนังมังสา"
3) Reptilian Alien : พญานาค มังกร งูใหญ่ (พุทธ-คริสต์-อิสลาม)
เดวิด ไอค์ หนึ่งในนักทฤษฎีสมคบคิดชาวอังกฤษได้กล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์สัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Alien) ว่ามาจากกลุ่มดาวมังกร มายังโลกตั้งแต่ยุคสุเมเรียน บาบิโลนซึ่งเรียกกันว่า อะนุนนาคี/เทพเจ้าแห่งดวงดาว มนุษย์ต่างดาวประเภทนี้มีอยู่นับสิบสายพันธุ์ย่อยซึ่งแปลงกายคล้ายมนุษย์ได้ และยังสืบเชื้อสายถึงปัจจุบันแทรกซึมอยู่ในเหล่า Elite ภายใต้ชื่อ Reptilian Brotherhood (เช่นที่ความเชื่อที่ว่ากษัตริย์ของจีนสืบสายเลือดจากมังกร) โดยมีเป้าหมายที่จะครองโลกตามแผนการ New World Order เพื่อควบคุมมนุษย์ทั้งทางกายและใจได้เบ็ดเสร็จดั่งทาส ซึ่งไบเบิลได้กล่าวถึงมังกรที่ถูกขับไล่จากสวรรค์ว่า "และพญามังกรผู้ยิ่งใหญ่นั้นก็ถูกขับออกไป นั่นคืองูเก่าแก่ที่เรียกว่าพญามารและซาตาน ผู้ซึ่งล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก เขาถูกเหวี่ยงออกไปยังโลกและพร้อมกับพลพรรคของเขา" (Revelation 12: 9)
ที่อินเดียและอียิปต์มีรูปสลักหินเป็นเทพครึ่งมนุษย์ครึ่งงู ซึ่งในอดีตเราเรียกว่าพญานาค แต่ในปัจจุบันกลับถูกนิยามขึ้นใหม่ว่าเป็น Reptilian Alien
ดู : รูปสลักครึ่งคนครึ่งงูที่อินเดีย และถูกนิยามว่าเป็น Reptilian Alien
https://www.youtube.com/watch?v=8jopxrJPGMM&feature=share&fbclid=IwAR1h4ZDmdA-Jeh6omAp8paB1-1mG6juSh54G9GFhKZ_LAD9pv629SdnPw9I
ดู : รูปสลักครึ่งคนครึ่งงูที่อียิปต์ และถูกนิยามว่าเป็น Reptilian Alien https://www.youtube.com/watch?v=tMgNj1h-_jE&fbclid=IwAR0ZMDhro0Xwc1LobeEkGxOv8YSqnx_ShMz-zhzL2riX-_cXH4vEI-F8UvY
4) Alien God, พระเจ้าจากต่างดาว : แอนตีไครส์ (คริสต์) / ดัจญาล (อิสลาม)
มีกระแสชวนเชื่อจากบุคคลบางกลุ่มบอกว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จากดาวศุกร์ (ดาว Lucifer) ก็มีให้เห็นในสื่อของชาวคริสต์บางกลุ่มที่นิยมความเร้นลับ ซึ่งมีความเชื่อว่าแท้จริงแล้วพระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวผู้ที่สร้างมนุษย์เราขึ้นมา
ส่วน UFO ก็คือยานพาหนะของพระเจ้า ดังที่ได้มีการหลอมรวม UFO กับ Vimana (วิมานลอยฟ้าของเหล่าเทวดา) และ Chariot of Gods (พาหนะของเทพเจ้า) เข้าด้วยกัน
- Vimana หมายถึง “ที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา” “ยานทิพย์” “พาหนะของพระเจ้า” ซึ่งในปัจจุบันถูกตีความเป็นยานอวกาศ หรือ UFO โดยนักโบราณคดีชาวจีนที่ได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในจังหวัดลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต จารึกที่ค้นพบนี้ว่าด้วยเรื่องราวของการสร้างอวกาศยานในยุคโบราณแห่งแดนภารตะ อวกาศยานที่ว่าคือ “วิมานะ”
Crop Circle ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ปริศนาขนาดมโหฬารที่เกิดบนทุ่งข้าวสาลีโดยเชื่อกันว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ต่างดาวที่มาสร้างไว้ นอกจาก Crop Circle จะมีหลากหลายรูปแบบแล้ว Crop Circle ยังเคยปรากฎเป็นรูปวิมานะเช่นกัน
แต่ในปัจจุบันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์เราสามารถทำ Crop Circle ขึ้นเองได้และดูแปลกตายิ่งกว่า Crop Circle ที่อ้างว่าเกิดจากมนุษย์ต่างดาวทำเสียอีก
- Chariot of Gods ภาพโบราณที่สลักตามที่ต่างๆทั่วโลกถูกนำมาตีความและนำมาใช้ในภาพยนตร์สารพัดเรื่อง และที่ชัดเจนที่สุดคือ Prometheus ที่ได้นำท่วงท่าของเทพเจ้าในอดีตที่อ้างว่ากำลังขับยวดยานสู่ห้วงอวกาศมาสื่อถึงเทพเจ้าจากต่างดาวที่กำลังควบคุมยาน UFO
ทั้งที่แต่เดิมผู้ที่ศึกษาอารยธรรมมายันเข้าใจว่า (ภาพกลาง) หมายถึงกษัตริย์ Pacal แห่ง Mayan, Mexico ที่ได้เดินทางสู่โลกใต้พิภพภายหลังความตาย โดยไม่เกี่ยวกับการเดินทางด้วยยานบินไปในห้วงอวกาศแต่อย่างใด
ภาพยนตร์เรื่อง Gods of Egypt ก็ได้นำเสนอภาพเทพรากำลังขับเรือที่ลากดวงอาทิตย์ไปรอบโลกตามความเชื่ออียิปต์โบราณ ขณะเดียวกันฝั่งขององค์กรวิทยาศาสตร์อย่าง NASA ก็อ้างว่าค้นพบยาน UFO ขนาดใหญ่ลอยอยู่ข้างๆดวงอาทิตย์มาตลอดและไม่เคยหายไปไหน แม้ยานทั้งสองจะมีรูปลักษณ์ต่างกัน แต่มันคือนัยเดียวกันว่ายานพาหนะของสุริยเทพรา คือยาน UFO ที่ NASA ตีความให้เป็นเช่นนั้น ดู : UFO by the Sun NASA
แต่ในปี 2562 Edward Snowden อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองชาวอเมริกัน ผู้ปล่อยข่าวของโครงการการลับสุดยอดของรัฐบาลสหรัฐและอังกฤษแก่สื่อจนต้องลี้ภัยไปรัสเซีย ได้ออกมาเปิดเผยว่า “จากการตรวจสอบข้อมูลเท่าที่ผมบอกได้ มนุษย์ต่างดาวไม่เคยติดต่อโลกเรา หรือแม้แต่ติดต่อหน่วยงานของสหรัฐ ผมทราบว่าทุกคนอยากให้มนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่กระนั้นสหรัฐก็ไม่ได้ซุกซ่อนข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลย ซึ่งผมได้เคยเข้าไปดูระบบเครือข่ายของ NSA CIA กองทัพ หรือกลุ่มอื่นๆ ผมไม่เห็นข้อมูลอะไรเลย ดังนั้นถ้าเราคิดว่าสหรัฐซุกซ่อนอะไรไว้ พวกเขาต้องซ่อนไว้อย่างดีมาก มากจนแม้แต่คนภายในยังไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
จะเห็นว่า Alien+UFO ไม่มีความจำเป็นต้องมีอยู่จริง เพราะคืออย่างเดียวกับสิ่งที่เราเคยรู้จักกันอยู่ก่อนแล้วจากศาสนาของเรา
แต่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่กลับประดิษฐ์ทฤษฎีต่างๆที่สร้างความเป็นไปได้การมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในห้วงอวกาศขึ้นมา ทั้งด้วยวิวัฒนาการ-บิกแบง-รูหนอน-ดาวเคราะห์มีองค์ประกอบเหมือนโลก-รวมถึง NASA ที่อ้างอยู่เสมอว่าค้นพบดาวเคราะห์ที่อาจมีสิ่งมีชีวิต
การปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปตามผลงานทางวิทยาศาสตร์
จะพาเราไปสู่ “Cosmic Religion” ได้อย่างไร ?
อะไรคือสาเหตุที่มนุษย์ต่างดาวจำเป็นต้องมีให้จงได้ ?
มันเป็นส่วนหนึ่งในการพาคนไปสู่ New World Order ได้อย่างไร ?
พบคำตอบได้...ในตอนต่อไป
----------------------------------------------
ตอนที่ 1 วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น
ตอนที่ 2 ระบบ Heliocentric กับลัทธิ Luciferian และ New World Order
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น