วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

18) สองบวกสองเป็นห้า (2 + 2 = 5)

สองบวกสองเป็นห้า (2 + 2 = 5) คือ สโลแกนหนึ่งที่มักจะใช้กันในสื่อต่าง ๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับระบบการปกครอง วลี "สองบวกสองเป็นห้า" นี้โด่งดังมากที่สุดจากหนังสือของจอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1949 เขาใช้วลีนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการใช้อำนาจในการบิดเบือนข้อมูลและบังคับประชาชนให้เชื่อตามสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อควบคุมประชาชนให้คิดตามที่ต้องการโดยไม่ต้องสนใจคำตอบที่ถูกต้อง และเมื่อหลาย ๆ คนเชื่อและคิดเหมือนกันก็แปลว่ามันถูกต้อง

หนังสั้นเรื่องสองบวกสองเท่ากับห้า

1984 เป็นเรื่องราวของวินสตัน สมิธที่อาศัยอยู่ในโอเชียเนีย (Oceania) วินสตันเป็นสมาชิกของพรรครัฐบาลที่มีระบบการปกครองแบบระบบสังคมนิยมอังกฤษที่เรียกว่าอิงซ็อก (Ingsoc) โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของอภิชน (elite) โอเชียเนียแบ่งระบบการปกครองออกเป็น 3 ระดับ คือ พรรคใน (Inner Party) คือกลุ่มชนชั้นสูงที่มีประชากรประมาณ 2% เป็นสมาชิกพรรค พรรคนอก (Outer Party) คือกลุ่มชนชั้นกลางมีประชากรประมาณ 13% และประชาชนคือชนขั้นกรรมาชีพ (Proles) ที่มีประชากรรวมกันประมาณ 85% คล้าย ๆ กับภาพพวกนี้ไหม









หนังสือ 1984 ได้ถูกทำเป็นภาพยนต์โดยใช้ภาพนี้เป็นโลโก้ของพรรค

โอเชียเนียเป็นเมืองที่มีสภาพแบบดิสโทเปียที่ไม่เคยว่างเว้นจากสงคราม ผู้คนอยู่กันอย่างยากแค้น และประชาชนถูกควบคุมทางความคิดทุกอย่างทั้งยังถูกสอดส่องตลอดเวลา อิงซ็อกต้องการควบคุมประชาชนแบบเบ็ดเสร็จจึงใช้ระบอบทรราชย์ที่อุปโลกน์ผู้นำพรรคขึ้นมาเป็น "พี่เบิ้ม" หรือ Big Brother สอนให้ผู้คนบูชา "พี่เบิ้ม" ราวกับเป็นเทพเจ้าภายใต้สโลแกน "Big Brother is Watching You!" (พี่เบิ้มกำลังจับตาดูคุณ!)

ตัวอย่างปกหนังสือ 1984

รูปแบบการควบคุมของ Ingsoc มีหลายวิธี เช่น การบังคับให้ใช้ภาษาตามที่กำหนดที่เรียกว่านิวสปีค (Newspeak) คือการลดทอนรูปแบบการใช้ภาษาให้คิดน้อยที่สุด ไม่ให้ใช้คำที่มีความหมายลึกซึ้ง เพื่อผู้คนจะได้ไม่ต้องคิด ในพจนานุกรมของนิวสปีคมีคำว่า "Duckspeak" คือการพูดแบบเป็ด (to quack like a duck) หมายถึงการพูดโดยไม่ต้องคิด ไม่ได้สนใจว่ามันจะมีความหมายลึกซึ้งหรือไม่

วินสตันอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางที่เป็นสมาชิกพรรคที่ทำงานอยู่ในกระทรวงแห่งความจริง (Minitrue) เป็นหน่วยงานที่ควบคุมข้อมูลทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พรรคต้องการ ผ่านการบิดเบือน ดัดแปลง และแก้ไขเอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ ข่าวสารในอดีต ฯลฯ ซึ่งจอร์จ ออร์เวลล์ได้ไอเดียมาจากสตาลินที่มักจะลบภาพ ลบประวัติบุคคลที่ไม่ต้องการออกจากประวัติศาสตร์อย่างเช่นภาพด้านล่าง



หนังสือเรื่อง 1984 นี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดในการควบคุมผู้คนของกลุ่มคนที่อยู่ในระดับชนชั้นปกครองของทางตะวันตก จอร์จ ออร์เวลล์เขียนบรรยายลักษณะการปกครองแบบ Ingsoc ได้อย่างถึงพริกถึงขิง (แนะนำให้อ่านหนังสือดีกว่าเพราะตัวภาพยนต์ที่ทำออกมาฉายนั้นไม่ได้ใส่รายละเอียดอย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือ) จอร์จทำงานเป็นสื่อสารมวลชนให้กับ BBC อยู่หลายปี หนังสืออีกเล่มหนึ่งของเขาที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือเรื่องฟาร์มสัตว์ (Animal Farm) และตัวจอร์จ ออร์เวลล์เองก็เคยเขียนบทความเกี่ยวกับโลกแบนไว้ในคอลัมน์ของเขาในหนังสือพิมพ์ Tribune เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1946 ข้อความด้านล่างนี้คือส่วนท้ายของบทความ


"จะเห็นได้ว่าเหตุผลที่ผมคิดว่าโลกกลมนั้นเป็นเรื่องที่คลุมเครือมาก มันไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล
หรือด้วยการทดลองใด ๆ แต่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจ และมันจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรทั้งที่เรามีองค์ความรู้
ที่กว้างขวาง และมีผู้เชี่ยวชาญที่จะกลายเป็นคนโง่เง่าไปทันทีเพราะมันไม่ได้ใกล้เคียงกับความรู้ที่เขามี?
คนส่วนใหญ่ หากถูกขอให้พิสูจน์ว่าโลกกลม พวกเขามักจะตอบโต้ด้วยเหตุผลที่อ่อนมากอย่างที่ผมได้อธิบายไว้
ด้านบน พวกเขาก็จะเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ว่า "ใคร ๆ ก็รู้" ว่าโลกกลม ถ้าหากถามต่อไปอีกพวกเขาก็จะเริ่มโกรธ
นทางหนึ่งชอว์ก็พูดถูก ยุคนี้เป็นยุคที่คนหูเบา และเราก็มีส่วนรับผิดชอบต่อองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ตอนนี้
แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง"

หนังสือ 1984 (ฉบับภาษาอังกฤษ) สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ https://www.planetebook.com/free-ebooks/1984.pdf


----------------------------------------------------------

ช่อง jeranism ใน YouTube ได้นำเสนอเนื้อหาหนังสือเล่มนี้เพราะมีบางส่วนที่พูดถึงโลกแบนในแง่มุมที่สัมพันธ์กับการใช้อำนาจเพื่อควบคุมความคิดของประชาชนไว้อย่างน่าสนใจ


The Truth of Flat Earth in 1984 by George Orwell

นิยายเรื่อง ๑๙๘๔ ของ George Orwell
แปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง และอำนวยชัย ปฏิพัทธ์เผ่าพงษ์
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๒๕
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์กอไผ่

คำนำของผู้แปล

"...ผู้เขียนบ่งชี้ธรรมชาติของผู้ปกครองได้อย่างน่าเย้ยหยัน ขณะเดียวกันก็ตระหนักในความเป็นไปได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแล้วโดยเราไม่รู้ตัว กล่าวคือการปกครองที่จะทำให้ประชาชนสยบอยู่ใต้อำนาจจนสิ้นเชิง ไม่มีหนทางเป็นกบฏแม้ในความคิดหรือความรู้สึก การหาวิธีใช้พลังงานของมนุษย์ไปในทางที่สูญเปล่า และขัดกับการพัฒนาความคิดจิตใจของมนุษย์เป็นที่สุด เช่น สร้างสภาวะสงครามเพื่อจะใช้แรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ แทนที่จะนำแรงงานนั้นไปสร้างสรรค์สิ่งอื่นเพื่อความสุขของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลได้ทั้งในแง่จิตวิทยา สังคม และจิตวิทยาเศรษฐศาสตร์ นั่นคือเกิดความรู้สึกว่าตนมีศัตรูภายนอกร่วมกัน ทำให้พลเมืองตกอยู่ในความหวาดกลัว และพร้อมที่จะทำตามผู้นำเพื่อความอยู่รอดจากภัยพิบัติ ขณะเดียวกันการใช้แรงงานทุ่มเทไปในการผลิตปัจจัย เพื่อการทำลายล้าง ย่อมทำให้ปัจจัยครองชีพขาดแคลน ฉะนั้นพลเมืองจึงไม่อาจคำนึงถึงเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากกิจกรรมหากินหาใช้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปวัน ๆ ไม่ว่าจะต้องแก่งแย่ง หลอกลวง ตลบแตลงซึ่งกันและกันขนาดไหนก็ตาม"

"ที่น่าเย้ยหยันยิ่งไปกว่านั้น "หนังสือ" ระบุไว้ว่าวิวัฒนาการไปสู่ยุค ๑๙๘๔ ก็คือการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแทนที่จะถูกนำมาใช้เพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์ดังเช่นในยุคก่อน ๆ กลับถูกนำมาใช้เพื่อเป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ โดยไปไกลยิ่งกว่าการใช้วิทยาศาสตร์ในการทำลายมนุษย์ในทางกายภาพ เช่นกรณีของระเบิดปรมาณู หรือการคิดค้นอาวุธสงครามในรูปแบบดังที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน หากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของ ๑๙๘๔ ถูกนำมาใช้ในเงื่อนไขอันน่าสะพึงกลัวยิ่งกว่า นั่นคือการที่ "ท้องไร่ท้องนาถูกไถด้วยแรงม้า ในขณะที่หนังสือทั้งหลายถูกเขียนด้วยเครื่องจักร"

"ด้วยเหตุนี้ จึงต้องนับว่าจินตนาการของออร์เวลล์เฉียบแหลมคมคายยิ่งนัก ไม่เพียงแต่สิ่งที่เขาเขียนถึงจะเป็นการขุดคุ้ยธรรมชาติของผู้ปกครอง ออกมาวางแผ่ต่อหน้าเราในทางทฤษฎีเท่านั้น หากในทางปฏิบัติ หลายสิ่งที่ออร์เวลล์เขียนไว้ได้ปรากฏเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลลวงของรัฐซึ่งพัฒนาไปหลายซับหลายซ้อนจนคาดไม่ถึง ไม่มีใครแน่ใจได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งที่ "พวกเขา" บอกวินสตัน สมิธ เกี่ยวกับ
จูเลียชู้รักของเขานั้นเป็นความจริงหรือไม่ หล่อนทรยศต่อเขาหรือว่าหล่อนประสบชะตากรรมอย่างอื่น เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะสงสัยต่อทุกสิ่ง สงสัยว่ามันเป็นอย่างที่มันถูกทำให้ปรากฏ หรืออย่างที่มันถูกบอกว่าเป็น หรือไม่ใช่เลย มันจะทำให้เราในฐานะผู้อ่าน พยายามคิดไปหลาย ๆ ทางต่อเรื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งผู้แปลหวังว่าคงช่วยให้เราหลุดพ้นจากสภาพ "ผู้รับที่เฉื่อยชา" ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย"

บางส่วนของเรื่องราวในหนังสือที่ jeranism เลือกมานำเสนอ



"หมวกท๊อปแฮ็ทน่ะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่หรอก" วินสตันพูดอย่างอดทน "ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าบรรดานายทุนเหล่านี้... พวกเขากับทนายความอีกไม่กี่คน พวกพระทั้งหลายและคนอื่น ๆ ซึ่งอาศัยใบบุญพวกนายทุน... เป็นเจ้าแห่งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา แล้วคุณ ผู้เป็นประชาชนธรรมดา เป็นคนงาน...คือเป็นทาสของพวกเขา เขาะทำอะไรคุณก็ได้ตามใจเขา พวกเขาสามารถจับพวกคุณลงเรือไปเหมือนเป็นฝูงวัวควาย นอนกับลูกสาวของคุณกี่คนก็ได้ตามแต่จะเลือก"




"ความนอกคอกของความนอกคอกทั้งหลายเป็นสามัญสำนึก และสิ่งน่าสยดสยองหาใช่เนื่องมาจากความกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าคุณเพราะคุณคิดว่าไม่เหมือนกับเขาดอก หากเป็นเพราะพวกเขาอาจจะถูกต้องนั่นต่างหาก ก็เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสองบวกสองต้องเป็นสี่ แล้วแรงโน้มถ่วงน่ะมีจริงหรือ อดีตล่ะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่หรือเปล่า ถ้าหากทั้งอดีตและโลกภายนอกที่แลเห็นมันสิงสถิตอยู่เพียงในความนึกคิดของเราเล่า และถ้าความนึกคิดเป็นสิ่งควบคุมได้... แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?"




"โดยทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมาน" การเชื่อฟังอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ แม้เมื่อมนุษย์คนนั้นกำลังเจ็บปวดก็ตาม คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขากำลังเชื่อฟังเจตน์จำนงของคุณแทนที่จะเป็นเจตน์จำนงของเขาเอง? อำนาจนั้นอยู่ในการฉีกกระชากจิตใจมนุษย์ออกเป็นชิ้น ๆ และนำมารวมเข้าด้วยกันเสียใหม่ตามแบบที่ได้เลือกไว้ คุณเริ่มเห็นบ้างแล้วหรือยังว่าโลกที่เรากำลังสร้างเป็นโลกชนิดไหน? มันจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับพวกยูโธเปียโง่ ๆ ที่ยึดเอาความพึงพอใจของมนุษย์เป็นเป้าหมายดังที่บรรดานักปฏิรูปเก่า ๆ ได้คิดฝันเอาไว้ ทว่ามันจะเป็นโลกแห่งความกลัว การทรยศ ทรมาน โลกแห่งการเหยียบย่ำและถูกเหยียบย่ำ โลกที่จะไร้ความเมตตากันมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่น้อยลง และมันกลั่นกรองตัวเองจนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความก้าวหน้าของโลกเราจะเป็นความก้าวหน้าไปสู่ความเจ็บปวดยิ่งขึ้น"




"อารยธรรมเก่าทั้งหลายอ้างว่า พวกตนก่อตั้งกันขึ้นมาบนพื้นฐานแห่งความรักและความยุติธรรม ส่วนของเรานั้นตั้งอยู่บนความเกลียดชัง ในโลกของเราจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอื่นใด ๆ นอกจากความกลัว ความคั่งแค้น ชัยชนะ และการลดค่าของตัวเองลง เราจะทำลายสิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนี้ทุกอย่าง ทุก ๆ อย่าง เรากำลังทำลายอุปนิสัยทางความคิดที่หลงเหลือมาจากสมัยก่อนการปฏิวัติ เราได้ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างลูกกับพ่อแม่ ระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้ชาย และระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิงไปแล้ว ไม่มีใครกล้าไว้ใจเมีย หรือลูก หรือเพื่อนของตัวเองอีกต่อไป แต่ในอนาคตจะไม่มีทั้งเมียและเพื่อน เด็ก ๆ จะถูกพรากไปจากแม่ตั้งแต่แรกเกิดเหมือนการหยิบไข่ไปจากแม่ไก่นั่นแหละ"




"เมื่อเป็นอิสระ... มนุษย์มักจะพ่ายแพ้เสมอ มันจักต้องเป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์ทุกคนถูกกำหนดชตากรรมไว้แล้วว่าต้องตาย ซึ่งนับเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาความล้มเหลวทั้งหลาย แต่ถ้าเขาสามารถยอมจำนนอย่างที่สุด ถ้าเขาสามารถหลีกหนีไปจากเอกลักษณ์ของเขา ถ้าเขาสามารถทำตัวเองให้ผสมกลมกลืนเข้ากับพรรคจนกระทั่งเขาคือพรรคได้แล้วละก็ เขาก็จะทรงอำนาจทั้งมวลและเป็นอมตะ สิ่งที่คุณต้องตระหนักเป็นประการที่สองก็คืออำนาจนั้นหมายถึงอำนาจเหนือมนุษย์เหนือร่างกาย แต่... เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เหนือความคิดจิตใจ อำนาจเหนือวัตถุ หรือคุณอาจจะเรียกมันว่าความจริงภายนอกนั้น ไม่สำคัญเท่าไหร่ การควบคุมของเราต่อวัตถุน่ะเด็ดขาดเรียบร้อยไปแล้ว"




"แต่คุณจะควบคุมวัตถุได้อย่างไร? เขาโพล่งออกมา "คุณควบคุมแม้เพียงภูมิอากาศและกฎแห่งแรงดึงดูดก็ยังไม่ได้ และยังมีโรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บปวด ความตาย..." โอไบรอันทำให้วินสตันเงียบเสียงลงโดยการขยับมือหนึ่งครั้ง "เราควบคุมวัตถุเพราะว่าเราเป็นผู้ควบคุมจิตใจ ความเป็นจริงทั้งหลายย่อมอยู่ในกระโหลกของมนุษย์ คุณจะเรียนรู้เป็นลำดับไป วินสตัน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการล่องหนหายตัวหรือการลอยคว้างอยู่ในอวกาศ ทุกอย่างเลย ผมสามารถลอยจากพื้นห้องนี้ได้เหมือนกับฟองสบู่ถ้าผมต้องการ แต่ผมไม่ต้องการเพราะพรรคไม่ประสงค์เช่นนั้น คุณต้องขจัดความคิดเกี่ยวกับกฎแห่งธรรมชาติแบบศตวรรษที่สิบเก้าทิ้งเสียให้หมด เรานี่แหละผู้สร้างกฎแห่งธรรมชาติ"




"แต่คุณไม่ใช่คนสร้าง! พวกคุณไม่ได้เป็นนายของดาวนพเคราะห์ดวงนี้ด้วย แล้วยูเรเชียกับอีสเตเชียล่ะ?
คุณยังไม่ได้พิชิตพวกเขาด้วยซ้ำ"

"ไม่สำคัญ เราจะพิชิตพวกนั้นเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมและถ้าเราไม่ได้พิชิตล่ะ มันจะแตกต่างตรงไหนหรือ
เราสามารถตัดพวกนั้นออกจากความมีตัวตน โอชันเนียก็คือโลก"

"แต่ตัวโลกเองเป็นกลุ่มธุลีเท่านั้น แล้วมนุษย์ก็แสนจะเล็กกระจ้อยและสิ้นท่า
นานเท่าไหร่หรือที่มนุษย์ดำรงอยู่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา โลกไม่มีคนอยู่มานานตั้งหลายล้านปี"



"เหลวไหล โลกมันก็มีอายุเท่า ๆ กับเรานั่นแหละ ไม่แก่ไปกว่าเลย มันจะแก่ไปกว่าได้ยังไง?
ไม่มีสิ่งใดมีตัวตนนอกเสียจากว่าจะผ่านมาทางจิตสำนึกของมนุษย์"

"แต่ก้อนหินทั้งหลาย เต็มไปด้วยสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้ว ทั้งพวกช้างโบราณ มาสโทดอน
และสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ ซึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก่อนมนุษย์เกิดเสียอีก"

"คุณเคยเห็นโครงกระดูกของสัตว์ พวกนั้นหรือวินสตัน? แน่นอน... ไม่เคย
นักชีววิทยาในศตวรรษที่สิบเก้าสร้างมันขึ้นมา ก่อนจะมีมนุษย์ไม่มีอะไรอื่นอยู่เลย
และหลังจากยุคของมนุษย์แล้ว ถ้ามนุษย์จะมีจุดจบนะก็จะไม่มีอะไรอื่นอีก
พ้นไปจากมนุษย์แล้วย่อมไม่มีอะไรเลย"





"แต่จักรวาลทั้งหมดที่อยู่พ้นจากเราไปล่ะ มองดูที่ดวงดาวสิ บางดวงอยู่ไกลออกไปตั้งหลายล้านปีแสง
เราไม่มีทางไปถึงพวกมันเลย...ตลอดกาล"

"ดวงดาวคืออะไรกัน?" โอไบรอันพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
"มีสะเก็ดไฟอยู่ไม่กี่หย่อมห่างออกไปสักสองสามกิโลเมตร เราไปถึงได้ถ้าเราต้องการ หรือเราจะกำจัดมันเสียก็ได้
โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงดาวล้วนหมุนรอบโลกทั้งสิ้น"




"แน่ละ ที่ผมว่ามานั่นมันไม่เป็นจริงสำหรับจุดประสงค์บางประการ เมื่อเราเดินเรือในทะเล หรือเมื่อเราพยากรณ์สุริยคราสและจันทรคราส บ่อยครั้งเรารู้สึกว่ามันสะดวกที่จะสมมติว่าโลกหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลายอยู่ห่างไกลออกไปนับล้าน ๆ กิโลเมตร ก็แล้วมันเป็นยังไงขึ้นมาหรือ? คุณคิดหรือว่าการสร้างระบบดาราศาสตร์แบบทวิภาคนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของเรา ดวงดาวจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็ได้ตามแต่เราจะต้องการ คุณคิดว่านักคณิตศาสตร์ของเราทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกันหรือ? คุณลืมคิดสองชั้นไปแล้วหรืออย่างไร?"




"สวรรค์บนพื้นพิภพไม่ได้รับความเชื่อถือในทันทีที่ผู้คนตระหนักคิดขึ้นมาได้ ทฤษฎีการเมืองใหม่ ๆ ทุกสกุล ไม่ว่ามันจะเรียกชื่อตัวเองอย่างไร ล้วนพาหวนกลับไปสู่การสืบลำดับชั้น และการจัดระเบียบทั้งสิ้น แต่ในรูปลักษณ์ภายนอกโดยทั่วไปที่ดูแข็งแกร่งจากการจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ราวปี ๑๙๓๐  ข้อปฏิบัติซึ่งถูกละทิ้งไปนานแล้วในบางกรณีถึงร้อย ๆ ปีด้วยซ้ำ ได้แก่ การกักขังจองจำโดยไม่พิจารณาคดี การนำเชลยศึกมาใช้เป็นทาสแรงงาน การประหารชีวิตในที่สาธารณะ การทรมานเพื่อรีดเค้นคำสารภาพ การใช้ตัวประกัน และการเนรเทศโยกย้ายประชากรทั้งหมด เหล่านี้ไม่เพียงแต่กลับกลายมาเป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่กลับเป็นสิ่งที่แม้ประชาชนผู้มองตนเองว่าก้าวหน้า และยกระดับความคิดจิตสำนึกขึ้นมาแล้วก็ยังยอมให้มีอยู่ ซ้ำเข้าปกป้องเสียด้วย"




"และจงจำไว้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ใบหน้าจะอยู่รอรับการเหยียบย่ำเสมอ พวกนอกรีตและศัตรูของสังคมจะอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่อจะได้ถูกโค่นลงอย่างราบคาบและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผ่านมา นับตั้งแต่คุณตกมาอยู่ในมือของพวกเรา กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไป และจะเลวร้ายยิ่งขึ้นทุกที การจารกรรม การทรยศหักหลัง การจับกุมคุมขัง การลงทัณฑ์ทรมาน การประหัตประหาร การหายสาบสูญจะไม่มีวันหยุดยั้ง มันจะเป็นโลกแห่งความสยดสยองมากเท่า ๆ กับเป็นโลกแห่งชัยชนะ ยิ่งพรรคมีอำนาจมากขึ้นเท่าใด ความอดทนหรืออดกลั้นของพรรคก็จะน้อยลงเท่านั้น ฝ่ายค้านอ่อนแอลงมากเท่าใด ผู้เผด็จการก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น"



สโลแกนของพรรคสังคมนิยมอังกฤษ (Ingsoc) "สงครามคือสันติภาพ เสรีภาพคือความเป็นทาส อวิชชาคือกำลัง"


นอกจากข้อความที่ jeranism เลือกมานำเสนอ ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่จอร์จ ออร์เวลล์บรรยายถึงวิธีการที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อควบคุมความคิดของประชาชน และทำให้ผู้คนอ่อนแอจนไม่สามารถ
ขัดขืนต่อระบบได้


"วิทยาศาสตร์ในความหมายเก่าเกือบจะไม่มีอยู่อีกต่อไป ไม่มีคำว่า "วิทยาศาสตร์" บรรจุอยู่ในนิวสปีค วิธีคิดแบบประจักษ์นิยมที่อาศัยการตรวจสอบข้อมูล อันเป็นรากฐานของความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ในอดีตนั้น เป็นสิ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของอิงซ็อคเกือบทั้งหมด แม้แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาการ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผลผลิตของมันสามารถนำมาใช้ลดทอนเสรีภาพของมนุษย์ได้ทางใดทางหนึ่งเท่านั้น มองในแง่ศิลปะที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดต้องนับว่าโลกได้หยุดนิ่งหรือไม่ก็ถอยหลัง ท้องไร่ท้องนาถูกไถด้วยแรงม้า ในขณะที่หนังสือทั้งหลายถูกเขียนด้วยเครื่องจักร

แต่ในเรื่องที่มีความสำคัญชนิดชี้เป็นชี้ตายซึ่งหมายการทำสงคราม และการทำจารกรรมของตำรวจ วิธีประจักษ์นิยมยังคงได้รับการสนับสนุน หรืออย่างน้อยก็ยอมให้มีอยู่ จุดมุ่งหมายสองประการคือ พิชิตผิวโลกทั้งหมดและขจัดความเป็นไปได้ทั้งมวลของความคิดอิสระให้เรียบวุธ ดังนั้นจึงมีสองปัญหาใหญ่ ๆ ที่พรรคมุ่งจะจัดการ หนึ่งคือวิธีที่จะค้นพบให้ได้ว่ามนุษย์อีกคนหนึ่งกำลังคิดอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ปราถนาล่วงรู้ อีกปัญหาหนึ่งคือจะฆ่าผู้คนจำนวนหลายร้อยล้านภายในเวลาไม่กี่วินาทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าได้อย่างไร

เท่าที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไป ก็เพื่อการนี้เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันคือส่วนผสมระหว่างนักจิตวิทยากับนักไต่สวน คอยศึกษาความหมายอันแท้จริงจากการแสดงออกบนสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ในทุกรายละเอียด คอยตรวจสอบผลการล้วงความจริงโดยใช้ยาเสพติด ใช้วิธีทำให้ช็อค การสะกดจิต วิธีทรมานร่างกาย หรือไม่เขาก็จะเป็นนักเคมี นักฟิสิกส์ นักชีววิทยา ซึ่งทำงานเฉพาะที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ให้สัมพันธ์กับการหาวิธีทางทำลายชีวิต ในห้องทดลองอันกว้างใหญ่ทั้งหลายแหล่ของกระทรวงสันติภาพ ในสถานีเพื่อการทดลองที่ซ่อนอยู่ตามป่าแถวบราซิล ทะเลทรายออสเตรเลีย หรือตามหมู่เกาะที่ไกลหูไกลตาในมหาสมุทรอันตาร์คติค

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้กำลังทำงานกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยบางคนรับผิดชอบเฉพาะการวางกำลังบำรุงในสงครามครั้งหน้า บางคนคอยแต่คิดประดิษฐ์จรวดให้ใหญ่ขึ้น ทรงอานุภาพร้ายแรงขึ้นกว่าเก่าอยู่เสมอ กับคิดยานเกราะที่ป้องกันการทะลุทะลวงได้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ค้นคว้าแก๊สชนิดใหม่ที่มีพิษฆ่าคนได้ฉมังกว่าเดิม หรือสารละลายพิษที่สามารถผลิตในปริมาณซึ่งจะทำลายพืชผักได้ทั่วทั้งทวีป หรือเชื้อโรคพันธุ์ที่คงทนต่อภูมิต้านทานของร่างกาย บางคนขะมักเขม้นอยู่กับการผลิตยานซึ่งเคลื่อนไปใต้ดินเหมือนเรือดำน้ำที่แล่นใต้น้ำ หรือเรือบินที่เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาสนามบินดังเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเล

บางคนก็ตั้งหน้าสำรวจความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น การรวมแสงอาทิตย์ผ่านเลนส์ที่ติดไว้ในอวกาศออกไปเป็นพัน ๆ กิโลเมตร  หรือไม่ก็ผลิตแผ่นดินไหวและกระแสน้ำเทียมโดยให้ความร้อนจากศูนย์กลางของโลก"

-----------------------------------------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น