2. ในอดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีอิจมะอฺ(มติเอกฉันท์)จากยุคสลัฟ(บรรพชน 300 ปีแรก)ว่า "แผ่นดินกลมเหมือนลูกบอล" รวมถึง "โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์"
3. ไม่มีสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนจากอุละมาอฺที่ถูกอ้างถึงว่ามีทัศนะว่าแผ่นดินโลกมีสัณฐานกลม มีเพียงการตีความจากผู้กล่าวอ้างเท่านั้น
4. อุละมาอฺที่บอกว่าแผ่นดินโลกมีสัณฐานกลม หมายถึงกลมแบบเหรียญ(ซึ่งก็คือแบน) มากกว่าที่จะกลมแบบลูกบอล
5. หลักฐานต่างๆที่นำมาใช้ในอิจมาอฺโลกกลมสามารถอธิบายได้ด้วยโมเดลโลกแบน
ดู : http://www.ahlalhdeeth.com/vb/showthread.php?t=179813
5 ข้อสังเกตอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)โลกกลม
ดู : มติเอกฉันท์โลกกลม
https://islamqa.info/en/answers/118698/consensus-that-the-earth-is-round
1. ได้กล่าวว่า : “ไม่มีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่อุละมาอฺ(รวมทั้งในอดีตและปัจจุบัน)ว่าท้องฟ้านั้นเหมือนรูปทรงกลม
ในทำนองเดียวกันได้เห็นพ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าโลกโดยทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยพื้นแผ่นดินและท้องทะเลนั้นเหมือนรูปทรงกลม”
โดยใช้ทัศนะจากอิบนุอับบาสและซอฮาบะฮฺท่านอื่นๆที่ได้กล่าวถึงชั้นฟ้า(แต่ยังไม่ได้หมายรวมถึงแผ่นดิน)
ที่มีลักษณะเหมือนมิกซัล(ที่ปั่นด้าย)
ดู : มัจมูอฺฟัตวาอิบนุตัยมียะฮ์
ซึ่งมันคือการนำชั้นฟ้าที่กลมดั่งโดมมาตีความรวมถึงแผ่นดิน
ทั้งๆที่ชาวสลัฟและชาวคัมภีร์เชื่อว่าท้องฟ้านั้นกลมอย่างแน่นอน แต่แผ่นดินนั้นแบนราบ(ไม่ได้เป็นทรงกลมแบบลูกบอล)
2. กุรอานและฮะดีษที่ถูกนำมายืนยันว่าโลกกลมนั้นสามารถอธิบายด้วยโลกแบนได้ เช่น
กลางคืนที่คาบเกี่ยวกลางวันของโลกแบน นั้นคล้ายกับหยินที่คาบเกี่ยวหยาง
3. ได้กล่าวว่า : “ฉันไม่รู้จักผู้ใดเลยในหมู่อุละมาอฺมุสลิมที่เป็นที่รู้จักที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้(ว่าโลกกลม)เว้นเสียแต่ส่วนน้อยของบรรดาผู้ที่มีส่วนร่วมในการโต้แย้ง”
"ฉันไม่รู้จักผู้ใดเลยที่ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นรูปทรงกลม
นอกเหนือจากคนโง่เขลาบางคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ”
“ไม่มีอุละมาอฺมุสลิมชั้นแนวหน้าผู้คู่ควรแก่การถูกเรียกขานว่าอิหม่ามหรือผู้นำในความรู้ เลยสักท่านที่ปฏิเสธว่าโลกเป็นทรงกลม
และไม่มีการรายงานจากพวกเขาที่ปฏิเสธเรื่องนั้นเลย”
ซึ่งอิหม่ามและอุละมาอฺที่เชื่อว่าโลกแบนมีมากมายหลายท่าน(อ่านต่อในช่วงต่อไป) โดยท่านเหล่านั้นไม่คู่ควรกับคำว่าคนโง่เขลา
4. ได้กล่าวว่า : “นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางคณิตศาสตร์ต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว”
ซึ่งการคำนวณทางคณิตศาสตร์นั้นไม่สามารถยืนยันความจริงทั้งหมดได้ ดังเช่นที่ Professor Herbert Dingle ได้กล่าวว่า "ในภาษาของคณิตศาสตร์ เราสามารถเล่าเรื่องโกหกได้เหมือนกับเล่าเรื่องจริงและภายในขอบเขตของคณิตศาสตร์นั้น ไม่สามารถจำแนกสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งได้" และไอนสไตน์ก็ยอมรับว่า "ตราบเท่าที่กฎทางคณิตศาสตร์อ้างถึงความเป็นจริงมันก็ยังไม่แน่นอน และตราบใดที่มันแน่นอนมันก็ไม่ได้บ่งชี้ความเป็นจริง"
ตัวอย่างเช่น การคำนวณหาขนาดของโลกกลมเมื่อ
2,200 ปีก่อนในยุคกรีกโดยนักปราชญ์ที่ชื่อว่า Eratosthenes(เอราทอสเธนีส)เขาเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์
นักภูมิศาสตร์ นักกวี นักดาราศาสตร์ และเป็นนักทฤษฎีด้านดนตรี
ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องสมุด Library of Alexandria ด้วย
เขาได้ทำการทดลองวัดความยาวของเงาเสาซึ่งปักไว้ที่คนละเมือง
และผลลัพธ์ที่ออกมาคือเงาของแต่ละเสามีความยาวไม่เท่ากัน
เมื่อคำนวณองศาและความยาวเงาที่ปรากฎเขาจึงได้ข้อสรุปขนาดของโลกกลมและกลายมาเป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันโลกกลมจนถึงปัจจุบัน
แต่การทดลองนี้อยู่บนสมมุติฐานว่าแสงเดินทางเป็นเส้นขนานจากระยะทางเป็นล้านไมล์
ในความจริงแล้วผลการทดลองนี้สามารถยืนยันโลกแบนได้เช่นกัน
เพราะดวงอาทิตย์ของโลกแบนนั้นมีขนาดเล็กมาก
และเล็กกว่าโลก ซึ่งลอยอยู่ใกล้ๆเพียงไม่กี่พันไมล์เหนือแผ่นดิน
จึงทำให้เงาเสายาวไม่เท่ากัน นี่คืออีกหนึ่งในตัวอย่างผลสรุปแบบทวิภาค
กล่าวคือผลการทดลองเดียวกัน แต่เพราะสมมุติฐานต่างกัน
ข้อสรุปจากการคำนวณจึงต่างกัน
ในปัจจุบันเมื่อสังเกตแสงอาทิตย์ในช่วงเที่ยงวันที่กระทบยังเมืองต่างๆบนแนวละติจูดเดียวกัน ปรากฏว่าองศาแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นเส้นขนานเป็นดั่งสมมติฐานของโลกกลม เช่น
- แอนตาร์กติกา-แคนาดา มีระยะทาง 14,980 กม. แสงทำมุมต่อกันเพียง 1 องศา
- อาร์เจนตินา-แคนาดา มีระยะทาง 10,802 กม. แสงทำมุมต่อกัน 7 องศา
- เปรู-สหรัฐ มีระยะทาง 6,270 กม. แสงทำมุมต่อกันถึง 13 องศา
เนื่องจากค่าไม่คงที่และองศายังเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา มุมตกกระทบของแสง อาทิตย์จึงไม่สามารถใช้ยืนยันสัณฐานโลกได้
5. ได้กล่าวว่า : “สิ่งนั้นถูกทำให้รู้โดยข้อเท็จจริงที่ว่าดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ และดวง ดาวไม่ได้ปรากฏขึ้นและตกเหนือผู้คนที่อยู่ในส่วนต่างๆ
ของโลกในเวลาเดียวกัน” ซึ่งเป็นสมมติฐานจากอริสโตเติลที่โคเปอร์นิคัสได้นำมาใช้ประกอบในหนังสือ
การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (On the Revolutions
of the Heavenly Bodies หรือ Revolutions) ดังที่กล่าวว่า “เราไม่สามารถมองเห็นดาวดวงเดียวกันบนสถานที่ต่างกันได้ในเวลาเดียวกันได้”
สิ่งนี้บ่งชี้ว่า
โมเดลโลกกลมไม่ได้เพิ่งถูกผลักดันโดยนักดาราศาสตร์เจซูอิตเท่านั้น
ที่ได้นำตำราของโคเปอร์นิคัสไปเผยแพร่ยังจีน อินเดีย
และส่วนต่างๆของโลกจนประเทศเหล่านั้นเปลี่ยนความเชื่อจากโลกแบนมาเป็นโลกกลมหลัง
ค.ศ. 1543 (ฮ.ศ. 964) แต่แนวความคิดนี้ได้เข้ามาถึงโลกอิสลามตั้งแต่ยุคก่อนหน้านั้นแล้ว
คือก็ช่วง ฮ.ศ.661-728 ที่อิบนุตัยมียะฮฺมีชีวิตอยู่(ซึ่งอิจมาอฺโลกกลมก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น)
กระบวนการนี้ยังเคยมาถึงโลกอิสลามก่อนหน้านั้นผ่านนักโหราศาสตร์ชาวกรีกโรมัน
ซึ่งเห็นได้จากที่อีหม่ามอัลเกาะห์ฏอนี(เสียชีวิต ฮ.ศ.387) ได้กล่าวเป็นบทกลอนว่า.. พวกวิศวกรและนักโหราศาสตร์ได้โกหกแล้ว
ในการเข้าใจความรู้ของอัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง แผนที่ ณ ที่เขาทั้งสองนั้นเป็นทรงกลม
ซึ่งเขายึดถือเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่ปราดเปรื่อง
แผ่นดินนั้นจะแบนราบด้วยกับหลักฐานที่สัจจริงและชัดเจนในกุรอาน...โอ้นักปรัชญาเอ๋ย เจ้ามัวแต่หมกมุ่นด้วยกับปรัชญากรีกและโรมันแต่ละทิ้งทางนำ
ดู : หนังสืออันนูนียะ
จะเห็นว่าแม้แต่อิจมาอฺโลกกลมก็ยังสามารถอธิบายได้ด้วยโลกแบนเช่นกัน คำถามที่ควรคิดคือ หากมุสลิมยึดมั่นตามกุรอานและฮะดีษ โดยไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักปรัชญากรีกโรมัน / นักโหราศาสตร์ / นักดาราศาสตร์เหล่านั้น แล้วการที่มุสลิมยอมรับว่าโลกกลมเหมือนลูกบอล สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ?
ฟัตวา(คำวินิจฉัย)ของเชคบินบาซ :
แผ่นดินนั้นเป็นรูปกลมในทัศนะของผู้มีความรู้ทั้งหลายและอิบนุฮัซมินและท่านอื่นได้อ้างว่าเป็นอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)เรื่องนี้ว่าโลกมันกลมหมายความว่าโลกนั้นมันมีส่วนที่มาประสานมารวมซ้อนกันขึ้นไปเหมือนกับว่าจะเป็นทรงกลมแต่ว่าอัลลอฮฺนั้นทรงทำให้ส่วนบนของแผ่นดินนั้นมันแผ่ราบเรียบจะได้มีสิ่งต่างๆโดยมีภูเขายึดตรึงแผ่นดินไว้
สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ มีทะเลอยู่ได้ และให้แผ่นดินแบนราบ
ดังปรากฏในอัลกุรอาน
และการที่มันกลมนั้นก็ไม่ได้ห้ามในการที่มันจะแบนราบทางด้านบนเพราะว่ามันใหญ่มากจนกระทั่งว่าเป็นที่กว้างใหญ่
ดู : https://binbaz.org.sa/fatwas/5966/%D9%83%D8%B1%D9%88%D9%8A%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D8%A7%D8%B1%D8%B6
ซึ่งฟัตวานี้สามารถเข้าใจได้ด้วยทั้งด้วยแผ่นดินที่ “กลมแบบลูกบอล”
และ “กลมแบบเหรียญ”
ท่านนบีมูฮัมมัม(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “ดุนยาเหมือนเหรียญ / แหวนบนผืนทราย”
อิบนุอับบาส และซอฮาบะฮฺท่านอื่นๆได้กล่าวถึงชั้นฟ้า(ไม่ได้หมายรวมถึงพื้นดิน)ที่มีลักษณะเหมือนมิกซัล(ที่ปั่นด้ายซึ่งเป็นวงกลม) โดยอุละมาอฺทั้งในอดีตและปัจจุบันมีความเห็นเหมือนกันว่าชั้นฟ้ามีลักษณะโค้งกลม
ดู : มัจมูอฺฟัตวาอิบนุตัยมียะฮ์
อิบนุกะษิร (เสียชีวิต ฮ.ศ.
774) ยังได้อธิบายเกี่ยวกับสวรรค์เหนือชั้นฟ้าทั้ง 7 อีกว่า “สวรรค์มีความกว้างและยาวเท่ากันและเป็นทรงโดมโดยแต่ละชั้นจะเล็กลงเรื่อยๆจนถึงชั้นฟิรเดาสฺซึ่งอยู่สูงที่สุด
เล็กที่สุดอยู่ใจกลางสวรรค์ และอยู่ใต้บังลังก์ของอัลลอฮฺ”
ดู :
ตั้งแต่นาทีที่ 8 https://www.facebook.com/Iklas.Krabi/videos/757471888041774/
ที่น่าสนใจคือ ทุกวันนี้แม้เราจะคำนวณวิถีการโคจรของดวงดาวตามระบบศูนย์อาทิตย์(Heliocentric)แต่...
1.
การสังเกตดวงดาวจะสมมุติว่าเราหยุดนิ่งกับที่และเทหวัตถุต่างๆโคจรรอบโลก ตามนิยามของระบบศูนย์โลก(Geocentric) โดยให้เหตุผลว่า
"วิธีนี้ใช้การได้และง่าย"
2. ยังสมมุติให้เทหวัตถุต่างๆเสมือนติดอยู่บนทรงโดมใสๆ(Celestial Sphere)ที่ครอบอยู่เหนือจุดสังเกต... ซึ่งนิยามนี้มีบางประเด็นที่คล้ายคลึงกับโมเดลโลกแบนอย่างมาก
3. และถึงแม้องค์การอวกาศจะทราบระยะทางของดวงดาวต่างๆ แต่ทางดาราศาสตร์ก็ไม่ได้นำระยะทางเหล่านี้มาใช้ โดยสมมุติให้ Fixed Star (ดาวต่างๆในดาราจักร)มีระยะทางเท่า กัน(คือติดอยู่บนโดมใสนั้นหมือนๆกัน) ซึ่งมันเหมือนสมมติฐานของจักรวาลวิทยายุคก่อน และแน่นอนว่ามันสอดคล้องกับสิ่งที่สังเกตได้ แต่มันกลับไม่ใช่ข้อเท็จจริงของจักรวาลวิทยายุคใหม่ที่เชื่อว่า Fixed Star เหล่านั้นมีระยะทางแตกต่างกันเพราะการระเบิด Big Bang
ดู : https://youtu.be/Ch7sqkgFwxA
ดังนั้น "และพระองค์ผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน และดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แต่ละหน่วยแหวกว่ายตามเส้นทาง(ที่อัลลอฮฺกำหนด)" (อัลอัมบิยาอฺ 21 : 33) ที่มุสลิมบางส่วนนำมาอธิบายท้องฟ้าที่เป็นทรงกลมเพื่อยืนยันโมเดลโลกกลม ความจริงแล้วอายะห์นี้ถูกนำมาใช้อธิบายท้องฟ้ากลมๆของโลกแบนอยู่ก่อนแล้ว
อีหม่ามมูกอติล บินซุไลมาน(ยุคสลัฟ เสียชีวิต
ฮ.ศ.150)ได้กล่าวในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฮิจรฺ 15 :19 “และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน”
และซูเราะห์กอฟ 50 : 7
“และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่ให้มันกว้างออกไปและในแผ่นดินเราได้ปักภูเขาไว้อย่างมั่นคงและในแผ่นดินนั้นเราให้พฤกษชาติทุกชนิดงอกเงยออกมาเป็นคู่ๆอย่างสวยงาม” ว่า และแผ่นดินเราได้แผ่มันออก
หมายถึงทำให้มันแบน กล่าวคือมีระยะทาง 500 ปี ความยาวของมัน และกว้างของมัน และหนาของมัน
และอัลลอฮฺทรงแผ่มันจากใต้กะบะฮฺ
ดู : ตัฟซีรมูกอติล เล่มที่ 2 หน้า 426
แผ่นดินนั้นถูกแผ่ออกไป 500 ปีและหนาอีก
500 ปี ดังนั้นหากโลกเป็นทรงกลมแปลว่าโลกต้องมีขนาดเท่าๆเอกภพ(ซึ่งมีระยะ 500 ปี) ตัฟซีรนี้จึงเป็นการยืนยันว่าโลกต้องเป็นทรงแบนเท่านั้น
ภาพ Conceptual แผนที่โลกกลม(บนซ้าย) เมื่อเปลี่ยนเป็นโลกแบน(ล่างซ้าย)เส้นรอบวงของโลกกลม จึงหมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกแบน ขั้วโลกใต้จึงเป็นจุดแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างโมเดลโลกกลมและโลกแบน เพราะขั้วโลกใต้ของโลกกลมเป็นเกาะขนาดเท่าๆอเมริกาใต้ แต่ขั้วโลกใต้ของโลกแบนเป็นกำแพงน้ำแข็งที่แผ่ขยายออกไป 500 ปีที่ล้อมน้ำทะเลและทวีปต่างๆไว้ จนมองดูเหมือนเหรียญบนผืนทราย
อิบนูมูญาฮิร(ยุคสลัฟ) ได้ยกหลักฐานที่บ่งว่า ทัศนะนี้ถูกต้องด้วยกับน้ำทะเลที่ล้อม รอบสิ่งถูกสร้างต่างๆซึ่งท่านได้กล่าวว่าหากแผ่นดินนั้นเป็นลูกบอลน้ำจะไม่สามารถอยู่บนมันได้
และด้วยเหตุนี้ Gravity(แรงโน้มถ่วง) จึงจำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นมาในปี 1,666 เพื่อรองรับโมเดลโลกกลมที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่ปรากฎการณ์ต่างๆที่เราพบเห็นสามารถอธิบายด้วยความหนาแน่น การลอยตัว แรงดันอากาศ และแรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้ โทมัส วินชิปได้กล่าวในหนังสือ Zetetic Cosmogeny ว่า "กฎแรงโน้มถ่วงถูกกล่าวถึงโดยผู้ที่สนับสนุนระบบดาราศาสตร์ของนิวตันว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในวิทยาศาสตร์และมันเป็นรากฐานของระบบดาราศาสตร์ยุคใหม่ ดังนั้นมันจึงแสดงได้ว่าแรงโน้มถ่วงเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานและเป็นเพียงจินตนาการที่อยู่ในใจเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงๆภายนอกสมองของเหล่าผู้อธิบายและผู้สนับสนุน"
และมีนักวิชาการร่วมสมัย เช่น Dr. Verlinde กล่าวว่า “แรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่จริง”
ดู : Gravity doesn't exist https://www.nytimes.com/2010/07/13/science/13gravity.html
ดู : Cosmos with out Gravitation https://drive.google.com/drive/u/0/my-drive
อิบนูมูญาฮิรยังได้กล่าวในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ 88 : 18-20 “และยังท้องฟ้าบ้างหรือว่ามันถูกยกให้สูงขึ้นอย่างไร? และยังภูเขาบ้างหรือว่ามันถูกปักตั้งไว้อย่างไร? และยังแผ่นดินบ้างหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร?” ว่า อายะนี้บ่งว่าแผ่นดินนั้นแผ่ไม่ได้เป็นทรงกลม
ดู : ตัฟซีรอิบนูมูญาฮิร
อีหม่ามอัลเกาะห์ฏอนี(เสียชีวิต ฮ.ศ.387)
กล่าวไว้เป็นบทกลอนว่า.. พวกวิศวกรและนักโหราศาสตร์ได้โกหกแล้ว ในการเข้าใจความรู้ของอัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง
แผนที่ ณ ที่เขาทั้งสองนั้นเป็นทรงกลม ซึ่งเขายึดถือเช่นนี้
แต่สำหรับผู้ที่ปราดเปรื่อง
แผ่นดินนั้นจะแบนราบด้วยกับหลักฐานที่สัจจริงและชัดเจนในกุรอาน...(จนถึงคำพูดสุดท้าย)...โอ้นักปรัชญาเอ๋ย
เจ้ามัวแต่หมกมุ่นด้วยกับปรัชญากรีกและโรมันแต่ละทิ้งทางนำ
ดู : หนังสืออันนูนียะ
อับดุลกอเฮร อัลบักดาดีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ. 429) กล่าวว่า พระนามอัลบาซิร(ผู้แผ่) เป็นหลักฐานบ่งถึงการแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และบ่งชี้ว่าพระองค์ทรงแผ่แผ่นดินจึงเรียกว่าผู้แผ่ซึ่งขัดกับผู้ที่อ้างตามนักปรัชญาและโหราศาสตร์ที่ว่าโลกนั้นกลมไม่ได้แบนราบ
ดู : หนังสืออุซูลุดดีน หน้า 124
อิหม่ามมาวัรดี(ฮ.ศ.364-450) ตัฟซีรซูเราะห์ อัรเราะอฺดฺ 13 : 3 “และฟ้าลั่นจะแซ่ซร้อง สดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์ และมะลาอิกะฮฺจะสดุดีด้วย เพราะความกลัวพระองค์ และพระองค์ทรงให้ฟ้าผ่าแล้วมันจะฟาดไปยังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยพวกเขาโต้เถียงกันในเรื่องของอัลลอฮฺ และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจยิ่ง” ว่า ทำให้มันแบนเพื่อให้สิ่งต่างๆอยู่บนมันได้ เป็นการตอบโต้ผู้ที่อ้างว่ากลมเหมือนลูกบอล
ดู : หนังสืออันนูกัต วัลอุยูน เล่ม 3 หน้า 92
อิบนุอะตียะฮฺ(เสียชีวิต ฮ.ศ. 481) ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ 88 : 18-20 ว่า เป็นที่ประจักษ์จากอายะฮฺเหล่านี้คือ โลกนั้นแผ่ราบไม่ได้เป็นทรงกลม คือทัศนะที่ผู้รู้ยึดถือ
ดู : ตัฟซีรมูกอติล เล่มที่ 2 หน้า 426
อีหม่ามกุรตูบีย์(เสียชีวิติปี ฮ.ศ. 671) ตัฟซีรซูเราะห์ อัรเราะอฺดฺ 13: 3 ว่า อายะฮฺนี้เป็นการตอบโต้การกล่าวอ้างของผู้ที่บอกว่าโลกกลมเหมือนลูกบอล...และสิ่งที่มุสลิมและบรรดาชาวคัมภีร์ยึดเหมือนกัน คือ คำพูดที่ว่าโลกอยู่นิ่ง อยู่กับที่ และแบนราบ ส่วนการเคลื่อนไหวของโลกนั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวทางธรรมชาติที่มาประสบ เช่น แผ่นดินไหว
และในตัฟซีรซูเราะห์
อัลฮิจรุ 15 : 19 “และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป
และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคงและเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล”
ท่านได้กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ตอบโต้ผู้ที่บอกว่าโลกนั้นเป็นทรงกลม
ดู : หนังสืออัลจาเมียะลิลอะฮิกาม
อัลกุรอาน
อีหม่ามจลาลุดดีน(ฮ.ศ.791-864) และ อีหม่ามซัยยูตี(ฮ.ศ.849-911) ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ 88 : 18-20 ว่า คำว่าแบนราบบอกชัดว่าแผ่นดินนั้นแผ่และไม่กลมตามคำกล่าวอ้างของนักดาราศาสตร์
ดู : ตัฟซีรจลาเลน
อัซซาอาริบีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ. 875) ได้ตัฟซีรซูเราะห์ นูฮ 71 : 19 “และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน” ว่า อายะนี้บ่งว่า แผ่นดินนั้นแผ่ราบเรียบไม่ใช่ลูกบอลและการจะเชื่อว่ากลมหรือแบนไม่ได้สร้างความเสียหายในหลักการศาสนา เพียงแต่การเชื่อว่ากลมนั้นส่งผลให้มีการพิจารณาที่ผิดพลาด แต่การเชื่อว่าแบนราบซึ่งประจักษ์ชัดในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ เป็นสิ่งที่ไม่มีวันที่จะเสียหายเด็ดขาด
ดู : อัลจาวาเฮร อัลฮิซาม ฟีตัฟซีรอัลกุรอาน
แม้คัมภีร์ไบเบิลจะมีบางส่วนที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
แต่ในพันธสัญญาเดิมยังกล่าวถึงโลกแบน-อยู่นิ่งกับที่-มีชั้นฟ้าโค้ง อยู่กว่า 240
แห่ง และนี่คือร่องรอยที่ยังคงหลงเหลือให้เราได้เห็นว่า ชาวคัมภีร์เชื่อว่าโลกแบนแบบที่อีหม่ามกุรตูบีย์กล่าวไว้
ดู : www.flatearthdoctrine.com
ไม่เพียงเท่านั้นคัมภีร์อิดริส (Book of Enoch) ก็บรรยายถึงลักษณะชั้นฟ้าที่สอดคล้องกับโมเดลโลกแบนเช่นกัน
ดู : https://www.facebook.com/groups/YIAFE/permalink/2493396994316888/?sfnsn=mo
ข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ว่า
-
ฮะดีษที่บอกว่าโลกกลมเหมือนเหรียญ สอดคล้องกับโลกแบนมากกว่าที่จะหมายถึงโลกกลมแบบลูกบอลตามที่วิทยาศาสตร์กำลังชวนเชื่อ
- ชาวคัมภีร์(คริสต์ ยิว)รวมถึงคัมภีร์อิดรีสบรรยายลักษณะโลกแบน-อยู่นิ่งกับที่
และยังไม่ปรากฎว่ามีชาวสลัฟหรือชาวคัมภีร์ท่านใดที่เชื่อว่าโลกกลมแบบลูกบอลที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
- อิจมาอฺโลกกลมก็ยังสามารถอธิบายได้ด้วยโลกแบน
และไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ชัดเจนจากยุคสลัฟที่ถูกอ้างว่ามีทัศนะโลกกลมแบบลูกบอล
มีเพียงการตีความจากผู้อ้างเท่านั้นว่าเพราะชั้นฟ้าโค้งกลม ดังนั้นโลกทั้งหมด(ซึ่งรวมทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน)จึงเป็นทรงกลม
- นักอุศูลีมีมุมมองว่า
ตั้งแต่ยุคสลัฟจนถึงปัจจุบันมีอุละมาอฺมากมายที่มีทัศนะว่าโลกแบน
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอิจมาอฺโลกกลมแบบลูกบอล เพราะประเด็นใดที่เคยมีความเห็นต่าง ประเด็นนั้นจะไม่สามารถเกิดอิจมาอฺได้
และการจากไปของผู้รู้ไม่ได้ทำให้ทัศนะที่แตกต่างมลายหายไปด้วย ซึ่ง Max Planck นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันผู้บุกเบิกการศึกษาทฤษฎีควอนตัมได้ชี้ให้เห็นมุมมองชวนคิดไว้ว่า
"Science advances
one funeral at a time" ซึ่งแปลให้ชัดเจนได้ว่า “การที่วิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งเจริญก้าวหน้าขึ้นนั้น
ไม่ได้เกิดจากชัยชนะในการโน้มน้าวผู้ที่คัดค้านให้คล้อยตามได้
แต่เป็นเพราะผู้คัดค้านเหล่านั้นได้ตายไปแล้ว
แล้วคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิดมาก็ถูกสอนให้คุ้นเคยกับวิทยาศาสตร์ด้านใหม่นั้นเพียงด้านเดียว”
ดังนั้น แม้วิทยาศาสตร์ยุคใหม่จะได้รับการยอมรับไปทั่วโลก แต่มันก็ยังไม่ใช่หลักฐานยืนยันความเป็นจริงใดๆได้ “และหากพวกเจ้าเชื่อฟังส่วนมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว เขาก็จะให้เจ้าหลงจากทางของอัลลอฮฺไป” (อันอาม : 116)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น