1) ต้นกำเนิดของรถยนต์ไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าได้ถูกนำมาใช้เป็นพลังงานให้กับยานพาหนะนั้นเกิดมาก่อนรถที่ใช้ระบบน้ำมันหลายปี มีนักประดิษฐ์หลายคนสร้างรถขึ้นมาใช้เองเพื่อทดแทนรถม้า อย่างเช่น
Ányos Jedlik จากประเทศฮังการี
ในปี 1828 Ányos Jedlik นักประดิษฐ์ วิศวกร และนักฟิสิกส์ชาวฮังกาเรียนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะขนาดเล็กที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นมา
Thomas Davenport จากสหรัฐอเมริกา
Thomas Davenport เป็นช่างตีเหล็กและเป็นผู้ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้ระบบไฟกระแสตรงได้เป็นคนแรกในปี 1834 เขาเอาสิ่งประดิษฐ์ของเขาไปให้โปรเฟสเซอร์ Turner แห่งมหาวิทยาลัย Middlebury College ดู และในปี 1835 เขาได้เผยแพร่ให้สาธารณชนดู โดยโทมัสได้ประดิษฐ์โมเดลรถไฟขึ้นมาแล้วเอามาติดมอเตอร์ไฟฟ้าที่เขาคิดเพื่อใช้เป็นพลังงาน และสิ่งประดิษฐ์ของเขาจึงเป็นต้นแบบของรถรางไฟฟ้าหรือที่เรียกว่ารถ trolley, tram, streetcars, และ locomotive และในปี 1837 เขาได้จดสิทธิบัตรมอเตอร์ไฟฟ้า (Patent #132) และเอามอเตอร์ไฟฟ้านั้มาใช้เป็นพลังงานให้กับรถยนต์ขนาดเล็กด้วย
Sibrandus Stratingh จากประเทศเนเธอร์แลนด์
ปี 1835 โปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh ออกแบบรถขนาดเล็กที่ใช้พลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าตามหลักการทางฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday และผู้ช่วยของเขา Christopher Becker ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำการวิจัยต่อเนื่องจากโปรเฟสเซอร์ Stratingh เสียชีวิตเมื่อปี 1841 ภาพนี้คือรถที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าของโปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh ตามหลักการฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday
Robert Anderson จากสก๊อตแลนด์
Robert Anderson ประดิษฐ์รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอร์รี่แต่ยังเป็นแบบชาร์จไฟไม่ได้ (primary cells) ในช่วงปี 1832 - 1839
รถคันนี้เป็นรถที่ใช้ระบบไฟฟ้าวิ่งเป็นคันแรก ๆ บนท้องถนนในกรุงลอนดอนในปี 1884
รถ Electrobats เป็นยานพาหนะที่ใช้แบตเตอรี่ซึ่งถูกออกแบบและประดิษฐ์โดย Henry G. Morris และ Pedro G. Salom ถูกใช้เป็นรถแท๊กซี่กว่า 60 คันในกรุงนิวยอร์คในปี 1898
2) รถยนต์ที่ใช้น้ำมันคันแรก
ส่วนรถน้ำมันคันแรกถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Karl Benz ซึ่งได้จดสิทธิบัตรในปี 1886
1886 Benz
https://youtu.be/jHDoRDnQs20
Driving Mercedes Benz 1886 ...Turning Over
https://youtu.be/E88I8lm6vNc
3) แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ในยุคนั้นแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนามาจนมีการใช้งานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากเว็บ www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html ได้เขียนเปรียบเทียบแบตเตอรี่ในยุคนั้นกับแบตเตอรี่ในสมัยใหม่ อย่างเช่น รถ Nissan Leaf และ Mitsubishi-MiEV ที่ผลิตในปี 2010 แบตเตอรี่ที่ใช้ก็มีประสิทธิภาพเท่ากับรถ Fritchle ที่วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ชาร์จเร็วก็เกิดขึ้นแล้ว (สามารถชาร์จได้ 80% ภายใน 10 นาที) สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟ เทคโนโลยีมอเตอร์ในกงล้อก็มีแล้ว (in-wheel motors) การชาร์จไฟจากการเบรค (regenerative braking) ก็มีแล้ว ตั้งแต่ยุคปลายปี 1800 ถึงต้นปี 1900 ยานพาหนะไฟฟ้าจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นและเข้ามาแทนที่รถม้าในยุคก่อน
รถ Fritchle วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้งและแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานถึง 10,000 ไมล์ นอกจากนั้นคุณสมบัติอันโดดเด่นของ Fritchle คือความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่ได้จากการหมุนของล้อขณะที่กำลังวิ่งลงจากเนินเขา รถ Fritchle ได้ไปทดสอบวิ่งระยะทางไกลตั้งแต่เมืองลินคอล์น รัฐเนบลาสกาจนถึงกรุงนิวยอร์คในปี 1908 โดยใช้เวลา 20 วัน บนถนนทุกรูปแบบ และบริษัท Fritchle ยังมีสถานีสำหรับชาร์จไฟให้ตลอดเส้นทาง
Fritchle Electric Car
การสาธิตการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้รถไฟฟ้าโดย Mr. Harry Salvat ประธานบริษัท The Fashion Automobile Station, Inc. ซึ่งทำความเร็วในการเปลี่ยนแบตได้เร็วเท่ากันหรือเร็วกว่าการเติมน้ำมันเต็มถังซะอีก
4) สถานีชาร์จไฟและเครื่องชาร์จไฟที่บ้าน
โฆษณาเครื่องชาร์จไฟใช้ในบ้านโดยบริษัท GE Electric ที่โฆษณาว่าขายได้กว่า 8,000 เครื่องแล้วจากนิตยสาร New York MOTOR AGE วันที่ 2 พฤษภาคม 1912 หน้าที่ 88
5) ความนิยมของรถไฟฟ้า
ช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 คือยุคทองแห่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพราะใช้งานง่ายกว่ารถที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มผู้หญิง เนื่องจากรถน้ำมันที่ใช้เครื่องยนต์ต้องสตาร์ทเครื่องด้วยการใช้ข้อเหวี่ยง (crank) จึงไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งาน
Stock Footage - VINTAGE. HAND CRANK. FRUSTRATED DRIVER (1910s) / CARS
การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงมากในปี 1912 ขณะนั้นในประเทศอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนนราว 30,000 คัน 2 ใน 3 คันเป็นยานพาหนะส่วนตัว และในยุโรปมีประมาณ 4,000 คัน แคตตาล็อกโฆษณาขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วงปี 1895 - 1925
Thomas Edison กับรถยนต์ไฟฟ้าของเขาในปี 1913
หลังจากนั้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะว่าวิ่งเร็วกว่า วิ่งได้ระยะทางไกลมากกว่า แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะว่ามีพลังงานมากกว่า แต่เป็นเพราะมีปั๊มให้เติมน้ำมันเยอะกว่าสถานีชาร์จไฟของรถไฟฟ้า
ต่อมาในปี 1908 บริษัทฟอร์ดได้ผลิตรถรุ่น Model-T ออกมาซึ่งขายในราคาแค่ 850 เหรียญ แล้วพอถึงปี 1912 ฟอร์ดลดราคาขายลงเหลือแค่ 650 เหรียญซึ่งราคาถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้า 2-3 เท่าตัว และในปีเดียวกันรถยนต์น้ำมันที่ใช้การสตาร์ทด้วยระบบไฟฟ้าก็ออกมา จึงทำให้รถพลังงานน้ำมันยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น พอมาช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ราคาน้ำมันก็เริ่มถูกลง มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจึงได้รับความนิยมมากขึ้นและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็เริ่มหายไป (http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html)
Ford Model T
Jay Leno เป็นเจ้าของคอลเลคชั่นรถโบราณ สาธิตการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตโดยบริษัท Baker ตั้งแต่ปี 1909 (วิ่งได้ 22 ไมล์ต่อชั่วโมง และวิ่งได้ประมาณ 100 ไมล์ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง) เปรียบเทียบกับฟอร์ดโฟกัสรุ่นที่ใช้ไฟฟ้า
JAY LENO COMPARES NEW AND 100-YEAR OLD ELECTRIC CARS
------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
1) https://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Parker_(inventor)
2)https://www.eee.hku.hk/doc/ccchan/CC_Chan_IEEE%20Proceedings%20The%20rise%20&%20fall%20of%20EVs.pdf
3) http://www.edisontechcenter.org/DavenportThomas.html
4) http://www.electricvehiclesnews.com/History/historyearlyII.htm
5) http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html
6) http://www.lowtechmagazine.com/overview-of-early-electric-cars.html
7) https://www.chuckstoyland.com/category/automotive/early-electric-cars/electric-early-suppliers/electric-general-electric-motors/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น