สองบวกสองเป็นห้า (2 + 2 = 5) คือ สโลแกนหนึ่งที่มักจะใช้กันในสื่อต่าง ๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับระบบการปกครอง วลี "สองบวกสองเป็นห้า" นี้โด่งดังมากที่สุดจากหนังสือของจอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1949 เขาใช้วลีนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการใช้อำนาจในการบิดเบือนข้อมูลและบังคับประชาชนให้เชื่อตามสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อควบคุมประชาชนให้คิดตามที่ต้องการโดยไม่ต้องสนใจคำตอบที่ถูกต้อง และเมื่อหลาย ๆ คนเชื่อและคิดเหมือนกันก็แปลว่ามันถูกต้อง
หนังสั้นเรื่องสองบวกสองเท่ากับห้า
1984 เป็นเรื่องราวของวินสตัน สมิธที่อาศัยอยู่ในโอเชียเนีย (Oceania) วินสตันเป็นสมาชิกของพรรครัฐบาลที่มีระบบการปกครองแบบระบบสังคมนิยมอังกฤษที่เรียกว่าอิงซ็อก (Ingsoc) โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของอภิชน (elite) โอเชียเนียแบ่งระบบการปกครองออกเป็น 3 ระดับ คือ พรรคใน (Inner Party) คือกลุ่มชนชั้นสูงที่มีประชากรประมาณ 2% เป็นสมาชิกพรรค พรรคนอก (Outer Party) คือกลุ่มชนชั้นกลางมีประชากรประมาณ 13% และประชาชนคือชนขั้นกรรมาชีพ (Proles) ที่มีประชากรรวมกันประมาณ 85% คล้าย ๆ กับภาพพวกนี้ไหม
หนังสือ 1984 ได้ถูกทำเป็นภาพยนต์โดยใช้ภาพนี้เป็นโลโก้ของพรรค
ตัวอย่างปกหนังสือ 1984
รูปแบบการควบคุมของ Ingsoc มีหลายวิธี เช่น การบังคับให้ใช้ภาษาตามที่กำหนดที่เรียกว่านิวสปีค (Newspeak) คือการลดทอนรูปแบบการใช้ภาษาให้คิดน้อยที่สุด ไม่ให้ใช้คำที่มีความหมายลึกซึ้ง เพื่อผู้คนจะได้ไม่ต้องคิด ในพจนานุกรมของนิวสปีคมีคำว่า "Duckspeak" คือการพูดแบบเป็ด (to quack like a duck) หมายถึงการพูดโดยไม่ต้องคิด ไม่ได้สนใจว่ามันจะมีความหมายลึกซึ้งหรือไม่
วินสตันอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางที่เป็นสมาชิกพรรคที่ทำงานอยู่ในกระทรวงแห่งความจริง (Minitrue) เป็นหน่วยงานที่ควบคุมข้อมูลทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พรรคต้องการ ผ่านการบิดเบือน ดัดแปลง และแก้ไขเอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ ข่าวสารในอดีต ฯลฯ ซึ่งจอร์จ ออร์เวลล์ได้ไอเดียมาจากสตาลินที่มักจะลบภาพ ลบประวัติบุคคลที่ไม่ต้องการออกจากประวัติศาสตร์อย่างเช่นภาพด้านล่าง
หนังสือเรื่อง 1984 นี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดในการควบคุมผู้คนของกลุ่มคนที่อยู่ในระดับชนชั้นปกครองของทางตะวันตก จอร์จ ออร์เวลล์เขียนบรรยายลักษณะการปกครองแบบ Ingsoc ได้อย่างถึงพริกถึงขิง (แนะนำให้อ่านหนังสือดีกว่าเพราะตัวภาพยนต์ที่ทำออกมาฉายนั้นไม่ได้ใส่รายละเอียดอย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือ) จอร์จทำงานเป็นสื่อสารมวลชนให้กับ BBC อยู่หลายปี หนังสืออีกเล่มหนึ่งของเขาที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือเรื่องฟาร์มสัตว์ (Animal Farm) และตัวจอร์จ ออร์เวลล์เองก็เคยเขียนบทความเกี่ยวกับโลกแบนไว้ในคอลัมน์ของเขาในหนังสือพิมพ์ Tribune เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1946 ข้อความด้านล่างนี้คือส่วนท้ายของบทความ
"จะเห็นได้ว่าเหตุผลที่ผมคิดว่าโลกกลมนั้นเป็นเรื่องที่คลุมเครือมาก มันไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล
หรือด้วยการทดลองใด ๆ แต่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจ และมันจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรทั้งที่เรามีองค์ความรู้
ที่กว้างขวาง และมีผู้เชี่ยวชาญที่จะกลายเป็นคนโง่เง่าไปทันทีเพราะมันไม่ได้ใกล้เคียงกับความรู้ที่เขามี?
คนส่วนใหญ่ หากถูกขอให้พิสูจน์ว่าโลกกลม พวกเขามักจะตอบโต้ด้วยเหตุผลที่อ่อนมากอย่างที่ผมได้อธิบายไว้
ด้านบน พวกเขาก็จะเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ว่า "ใคร ๆ ก็รู้" ว่าโลกกลม ถ้าหากถามต่อไปอีกพวกเขาก็จะเริ่มโกรธ
ในทางหนึ่งชอว์ก็พูดถูก ยุคนี้เป็นยุคที่คนหูเบา และเราก็มีส่วนรับผิดชอบต่อองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ตอนนี้
แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง"
หนังสือ 1984 (ฉบับภาษาอังกฤษ) สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ https://www.planetebook.com/free-ebooks/1984.pdf
----------------------------------------------------------
ช่อง jeranism ใน YouTube ได้นำเสนอเนื้อหาหนังสือเล่มนี้เพราะมีบางส่วนที่พูดถึงโลกแบนในแง่มุมที่สัมพันธ์กับการใช้อำนาจเพื่อควบคุมความคิดของประชาชนไว้อย่างน่าสนใจ
นิยายเรื่อง ๑๙๘๔ ของ George Orwellแปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง และอำนวยชัย ปฏิพัทธ์เผ่าพงษ์
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๒๕
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์กอไผ่
คำนำของผู้แปล
"...ผู้เขียนบ่งชี้ธรรมชาติของผู้ปกครองได้อย่างน่าเย้ยหยัน ขณะเดียวกันก็ตระหนักในความเป็นไปได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแล้วโดยเราไม่รู้ตัว กล่าวคือการปกครองที่จะทำให้ประชาชนสยบอยู่ใต้อำนาจจนสิ้นเชิง ไม่มีหนทางเป็นกบฏแม้ในความคิดหรือความรู้สึก การหาวิธีใช้พลังงานของมนุษย์ไปในทางที่สูญเปล่า และขัดกับการพัฒนาความคิดจิตใจของมนุษย์เป็นที่สุด เช่น สร้างสภาวะสงครามเพื่อจะใช้แรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ แทนที่จะนำแรงงานนั้นไปสร้างสรรค์สิ่งอื่นเพื่อความสุขของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลได้ทั้งในแง่จิตวิทยา สังคม และจิตวิทยาเศรษฐศาสตร์ นั่นคือเกิดความรู้สึกว่าตนมีศัตรูภายนอกร่วมกัน ทำให้พลเมืองตกอยู่ในความหวาดกลัว และพร้อมที่จะทำตามผู้นำเพื่อความอยู่รอดจากภัยพิบัติ ขณะเดียวกันการใช้แรงงานทุ่มเทไปในการผลิตปัจจัย เพื่อการทำลายล้าง ย่อมทำให้ปัจจัยครองชีพขาดแคลน ฉะนั้นพลเมืองจึงไม่อาจคำนึงถึงเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากกิจกรรมหากินหาใช้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปวัน ๆ ไม่ว่าจะต้องแก่งแย่ง หลอกลวง ตลบแตลงซึ่งกันและกันขนาดไหนก็ตาม""ที่น่าเย้ยหยันยิ่งไปกว่านั้น "หนังสือ" ระบุไว้ว่าวิวัฒนาการไปสู่ยุค ๑๙๘๔ ก็คือการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแทนที่จะถูกนำมาใช้เพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์ดังเช่นในยุคก่อน ๆ กลับถูกนำมาใช้เพื่อเป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ โดยไปไกลยิ่งกว่าการใช้วิทยาศาสตร์ในการทำลายมนุษย์ในทางกายภาพ เช่นกรณีของระเบิดปรมาณู หรือการคิดค้นอาวุธสงครามในรูปแบบดังที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน หากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของ ๑๙๘๔ ถูกนำมาใช้ในเงื่อนไขอันน่าสะพึงกลัวยิ่งกว่า นั่นคือการที่ "ท้องไร่ท้องนาถูกไถด้วยแรงม้า ในขณะที่หนังสือทั้งหลายถูกเขียนด้วยเครื่องจักร"
"ด้วยเหตุนี้ จึงต้องนับว่าจินตนาการของออร์เวลล์เฉียบแหลมคมคายยิ่งนัก ไม่เพียงแต่สิ่งที่เขาเขียนถึงจะเป็นการขุดคุ้ยธรรมชาติของผู้ปกครอง ออกมาวางแผ่ต่อหน้าเราในทางทฤษฎีเท่านั้น หากในทางปฏิบัติ หลายสิ่งที่ออร์เวลล์เขียนไว้ได้ปรากฏเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลลวงของรัฐซึ่งพัฒนาไปหลายซับหลายซ้อนจนคาดไม่ถึง ไม่มีใครแน่ใจได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งที่ "พวกเขา" บอกวินสตัน สมิธ เกี่ยวกับ
จูเลียชู้รักของเขานั้นเป็นความจริงหรือไม่ หล่อนทรยศต่อเขาหรือว่าหล่อนประสบชะตากรรมอย่างอื่น เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะสงสัยต่อทุกสิ่ง สงสัยว่ามันเป็นอย่างที่มันถูกทำให้ปรากฏ หรืออย่างที่มันถูกบอกว่าเป็น หรือไม่ใช่เลย มันจะทำให้เราในฐานะผู้อ่าน พยายามคิดไปหลาย ๆ ทางต่อเรื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งผู้แปลหวังว่าคงช่วยให้เราหลุดพ้นจากสภาพ "ผู้รับที่เฉื่อยชา" ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย"
บางส่วนของเรื่องราวในหนังสือที่ jeranism เลือกมานำเสนอ
"หมวกท๊อปแฮ็ทน่ะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่หรอก" วินสตันพูดอย่างอดทน "ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าบรรดานายทุนเหล่านี้... พวกเขากับทนายความอีกไม่กี่คน พวกพระทั้งหลายและคนอื่น ๆ ซึ่งอาศัยใบบุญพวกนายทุน... เป็นเจ้าแห่งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา แล้วคุณ ผู้เป็นประชาชนธรรมดา เป็นคนงาน...คือเป็นทาสของพวกเขา เขาะทำอะไรคุณก็ได้ตามใจเขา พวกเขาสามารถจับพวกคุณลงเรือไปเหมือนเป็นฝูงวัวควาย นอนกับลูกสาวของคุณกี่คนก็ได้ตามแต่จะเลือก"
"ความนอกคอกของความนอกคอกทั้งหลายเป็นสามัญสำนึก และสิ่งน่าสยดสยองหาใช่เนื่องมาจากความกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าคุณเพราะคุณคิดว่าไม่เหมือนกับเขาดอก หากเป็นเพราะพวกเขาอาจจะถูกต้องนั่นต่างหาก ก็เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสองบวกสองต้องเป็นสี่ แล้วแรงโน้มถ่วงน่ะมีจริงหรือ อดีตล่ะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่หรือเปล่า ถ้าหากทั้งอดีตและโลกภายนอกที่แลเห็นมันสิงสถิตอยู่เพียงในความนึกคิดของเราเล่า และถ้าความนึกคิดเป็นสิ่งควบคุมได้... แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?"
"โดยทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมาน" การเชื่อฟังอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ แม้เมื่อมนุษย์คนนั้นกำลังเจ็บปวดก็ตาม คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขากำลังเชื่อฟังเจตน์จำนงของคุณแทนที่จะเป็นเจตน์จำนงของเขาเอง? อำนาจนั้นอยู่ในการฉีกกระชากจิตใจมนุษย์ออกเป็นชิ้น ๆ และนำมารวมเข้าด้วยกันเสียใหม่ตามแบบที่ได้เลือกไว้ คุณเริ่มเห็นบ้างแล้วหรือยังว่าโลกที่เรากำลังสร้างเป็นโลกชนิดไหน? มันจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับพวกยูโธเปียโง่ ๆ ที่ยึดเอาความพึงพอใจของมนุษย์เป็นเป้าหมายดังที่บรรดานักปฏิรูปเก่า ๆ ได้คิดฝันเอาไว้ ทว่ามันจะเป็นโลกแห่งความกลัว การทรยศ ทรมาน โลกแห่งการเหยียบย่ำและถูกเหยียบย่ำ โลกที่จะไร้ความเมตตากันมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่น้อยลง และมันกลั่นกรองตัวเองจนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความก้าวหน้าของโลกเราจะเป็นความก้าวหน้าไปสู่ความเจ็บปวดยิ่งขึ้น"
"อารยธรรมเก่าทั้งหลายอ้างว่า พวกตนก่อตั้งกันขึ้นมาบนพื้นฐานแห่งความรักและความยุติธรรม ส่วนของเรานั้นตั้งอยู่บนความเกลียดชัง ในโลกของเราจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอื่นใด ๆ นอกจากความกลัว ความคั่งแค้น ชัยชนะ และการลดค่าของตัวเองลง เราจะทำลายสิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนี้ทุกอย่าง ทุก ๆ อย่าง เรากำลังทำลายอุปนิสัยทางความคิดที่หลงเหลือมาจากสมัยก่อนการปฏิวัติ เราได้ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างลูกกับพ่อแม่ ระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้ชาย และระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับมนุษย์ผู้หญิงไปแล้ว ไม่มีใครกล้าไว้ใจเมีย หรือลูก หรือเพื่อนของตัวเองอีกต่อไป แต่ในอนาคตจะไม่มีทั้งเมียและเพื่อน เด็ก ๆ จะถูกพรากไปจากแม่ตั้งแต่แรกเกิดเหมือนการหยิบไข่ไปจากแม่ไก่นั่นแหละ"
"เมื่อเป็นอิสระ... มนุษย์มักจะพ่ายแพ้เสมอ มันจักต้องเป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์ทุกคนถูกกำหนดชตากรรมไว้แล้วว่าต้องตาย ซึ่งนับเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาความล้มเหลวทั้งหลาย แต่ถ้าเขาสามารถยอมจำนนอย่างที่สุด ถ้าเขาสามารถหลีกหนีไปจากเอกลักษณ์ของเขา ถ้าเขาสามารถทำตัวเองให้ผสมกลมกลืนเข้ากับพรรคจนกระทั่งเขาคือพรรคได้แล้วละก็ เขาก็จะทรงอำนาจทั้งมวลและเป็นอมตะ สิ่งที่คุณต้องตระหนักเป็นประการที่สองก็คืออำนาจนั้นหมายถึงอำนาจเหนือมนุษย์เหนือร่างกาย แต่... เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เหนือความคิดจิตใจ อำนาจเหนือวัตถุ หรือคุณอาจจะเรียกมันว่าความจริงภายนอกนั้น ไม่สำคัญเท่าไหร่ การควบคุมของเราต่อวัตถุน่ะเด็ดขาดเรียบร้อยไปแล้ว"
"แต่คุณจะควบคุมวัตถุได้อย่างไร? เขาโพล่งออกมา "คุณควบคุมแม้เพียงภูมิอากาศและกฎแห่งแรงดึงดูดก็ยังไม่ได้ และยังมีโรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บปวด ความตาย..." โอไบรอันทำให้วินสตันเงียบเสียงลงโดยการขยับมือหนึ่งครั้ง "เราควบคุมวัตถุเพราะว่าเราเป็นผู้ควบคุมจิตใจ ความเป็นจริงทั้งหลายย่อมอยู่ในกระโหลกของมนุษย์ คุณจะเรียนรู้เป็นลำดับไป วินสตัน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการล่องหนหายตัวหรือการลอยคว้างอยู่ในอวกาศ ทุกอย่างเลย ผมสามารถลอยจากพื้นห้องนี้ได้เหมือนกับฟองสบู่ถ้าผมต้องการ แต่ผมไม่ต้องการเพราะพรรคไม่ประสงค์เช่นนั้น คุณต้องขจัดความคิดเกี่ยวกับกฎแห่งธรรมชาติแบบศตวรรษที่สิบเก้าทิ้งเสียให้หมด เรานี่แหละผู้สร้างกฎแห่งธรรมชาติ"
"แต่คุณไม่ใช่คนสร้าง! พวกคุณไม่ได้เป็นนายของดาวนพเคราะห์ดวงนี้ด้วย แล้วยูเรเชียกับอีสเตเชียล่ะ?
คุณยังไม่ได้พิชิตพวกเขาด้วยซ้ำ"
"ไม่สำคัญ เราจะพิชิตพวกนั้นเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมและถ้าเราไม่ได้พิชิตล่ะ มันจะแตกต่างตรงไหนหรือ
เราสามารถตัดพวกนั้นออกจากความมีตัวตน โอชันเนียก็คือโลก"
เราสามารถตัดพวกนั้นออกจากความมีตัวตน โอชันเนียก็คือโลก"
"แต่ตัวโลกเองเป็นกลุ่มธุลีเท่านั้น แล้วมนุษย์ก็แสนจะเล็กกระจ้อยและสิ้นท่า
นานเท่าไหร่หรือที่มนุษย์ดำรงอยู่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา โลกไม่มีคนอยู่มานานตั้งหลายล้านปี"
"เหลวไหล โลกมันก็มีอายุเท่า ๆ กับเรานั่นแหละ ไม่แก่ไปกว่าเลย มันจะแก่ไปกว่าได้ยังไง?
ไม่มีสิ่งใดมีตัวตนนอกเสียจากว่าจะผ่านมาทางจิตสำนึกของมนุษย์"
"แต่ก้อนหินทั้งหลาย เต็มไปด้วยสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้ว ทั้งพวกช้างโบราณ มาสโทดอน
และสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ ซึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก่อนมนุษย์เกิดเสียอีก"
"คุณเคยเห็นโครงกระดูกของสัตว์ พวกนั้นหรือวินสตัน? แน่นอน... ไม่เคย
นักชีววิทยาในศตวรรษที่สิบเก้าสร้างมันขึ้นมา ก่อนจะมีมนุษย์ไม่มีอะไรอื่นอยู่เลย
และหลังจากยุคของมนุษย์แล้ว ถ้ามนุษย์จะมีจุดจบนะก็จะไม่มีอะไรอื่นอีก
พ้นไปจากมนุษย์แล้วย่อมไม่มีอะไรเลย"
และหลังจากยุคของมนุษย์แล้ว ถ้ามนุษย์จะมีจุดจบนะก็จะไม่มีอะไรอื่นอีก
พ้นไปจากมนุษย์แล้วย่อมไม่มีอะไรเลย"
เราไม่มีทางไปถึงพวกมันเลย...ตลอดกาล"
"ดวงดาวคืออะไรกัน?" โอไบรอันพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
"มีสะเก็ดไฟอยู่ไม่กี่หย่อมห่างออกไปสักสองสามกิโลเมตร เราไปถึงได้ถ้าเราต้องการ หรือเราจะกำจัดมันเสียก็ได้
โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงดาวล้วนหมุนรอบโลกทั้งสิ้น"
"แน่ละ ที่ผมว่ามานั่นมันไม่เป็นจริงสำหรับจุดประสงค์บางประการ เมื่อเราเดินเรือในทะเล หรือเมื่อเราพยากรณ์สุริยคราสและจันทรคราส บ่อยครั้งเรารู้สึกว่ามันสะดวกที่จะสมมติว่าโลกหมุนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลายอยู่ห่างไกลออกไปนับล้าน ๆ กิโลเมตร ก็แล้วมันเป็นยังไงขึ้นมาหรือ? คุณคิดหรือว่าการสร้างระบบดาราศาสตร์แบบทวิภาคนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของเรา ดวงดาวจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็ได้ตามแต่เราจะต้องการ คุณคิดว่านักคณิตศาสตร์ของเราทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกันหรือ? คุณลืมคิดสองชั้นไปแล้วหรืออย่างไร?"
"และจงจำไว้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ใบหน้าจะอยู่รอรับการเหยียบย่ำเสมอ พวกนอกรีตและศัตรูของสังคมจะอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่อจะได้ถูกโค่นลงอย่างราบคาบและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผ่านมา นับตั้งแต่คุณตกมาอยู่ในมือของพวกเรา กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไป และจะเลวร้ายยิ่งขึ้นทุกที การจารกรรม การทรยศหักหลัง การจับกุมคุมขัง การลงทัณฑ์ทรมาน การประหัตประหาร การหายสาบสูญจะไม่มีวันหยุดยั้ง มันจะเป็นโลกแห่งความสยดสยองมากเท่า ๆ กับเป็นโลกแห่งชัยชนะ ยิ่งพรรคมีอำนาจมากขึ้นเท่าใด ความอดทนหรืออดกลั้นของพรรคก็จะน้อยลงเท่านั้น ฝ่ายค้านอ่อนแอลงมากเท่าใด ผู้เผด็จการก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น"
สโลแกนของพรรคสังคมนิยมอังกฤษ (Ingsoc) "สงครามคือสันติภาพ เสรีภาพคือความเป็นทาส อวิชชาคือกำลัง"
นอกจากข้อความที่ jeranism เลือกมานำเสนอ ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่จอร์จ ออร์เวลล์บรรยายถึงวิธีการที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อควบคุมความคิดของประชาชน และทำให้ผู้คนอ่อนแอจนไม่สามารถ
ขัดขืนต่อระบบได้
"วิทยาศาสตร์ในความหมายเก่าเกือบจะไม่มีอยู่อีกต่อไป ไม่มีคำว่า "วิทยาศาสตร์" บรรจุอยู่ในนิวสปีค วิธีคิดแบบประจักษ์นิยมที่อาศัยการตรวจสอบข้อมูล อันเป็นรากฐานของความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ในอดีตนั้น เป็นสิ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของอิงซ็อคเกือบทั้งหมด แม้แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาการ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผลผลิตของมันสามารถนำมาใช้ลดทอนเสรีภาพของมนุษย์ได้ทางใดทางหนึ่งเท่านั้น มองในแง่ศิลปะที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดต้องนับว่าโลกได้หยุดนิ่งหรือไม่ก็ถอยหลัง ท้องไร่ท้องนาถูกไถด้วยแรงม้า ในขณะที่หนังสือทั้งหลายถูกเขียนด้วยเครื่องจักร
แต่ในเรื่องที่มีความสำคัญชนิดชี้เป็นชี้ตายซึ่งหมายการทำสงคราม และการทำจารกรรมของตำรวจ วิธีประจักษ์นิยมยังคงได้รับการสนับสนุน หรืออย่างน้อยก็ยอมให้มีอยู่ จุดมุ่งหมายสองประการคือ พิชิตผิวโลกทั้งหมดและขจัดความเป็นไปได้ทั้งมวลของความคิดอิสระให้เรียบวุธ ดังนั้นจึงมีสองปัญหาใหญ่ ๆ ที่พรรคมุ่งจะจัดการ หนึ่งคือวิธีที่จะค้นพบให้ได้ว่ามนุษย์อีกคนหนึ่งกำลังคิดอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ปราถนาล่วงรู้ อีกปัญหาหนึ่งคือจะฆ่าผู้คนจำนวนหลายร้อยล้านภายในเวลาไม่กี่วินาทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าได้อย่างไร
เท่าที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไป ก็เพื่อการนี้เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันคือส่วนผสมระหว่างนักจิตวิทยากับนักไต่สวน คอยศึกษาความหมายอันแท้จริงจากการแสดงออกบนสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ในทุกรายละเอียด คอยตรวจสอบผลการล้วงความจริงโดยใช้ยาเสพติด ใช้วิธีทำให้ช็อค การสะกดจิต วิธีทรมานร่างกาย หรือไม่เขาก็จะเป็นนักเคมี นักฟิสิกส์ นักชีววิทยา ซึ่งทำงานเฉพาะที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ให้สัมพันธ์กับการหาวิธีทางทำลายชีวิต ในห้องทดลองอันกว้างใหญ่ทั้งหลายแหล่ของกระทรวงสันติภาพ ในสถานีเพื่อการทดลองที่ซ่อนอยู่ตามป่าแถวบราซิล ทะเลทรายออสเตรเลีย หรือตามหมู่เกาะที่ไกลหูไกลตาในมหาสมุทรอันตาร์คติค
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้กำลังทำงานกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยบางคนรับผิดชอบเฉพาะการวางกำลังบำรุงในสงครามครั้งหน้า บางคนคอยแต่คิดประดิษฐ์จรวดให้ใหญ่ขึ้น ทรงอานุภาพร้ายแรงขึ้นกว่าเก่าอยู่เสมอ กับคิดยานเกราะที่ป้องกันการทะลุทะลวงได้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ค้นคว้าแก๊สชนิดใหม่ที่มีพิษฆ่าคนได้ฉมังกว่าเดิม หรือสารละลายพิษที่สามารถผลิตในปริมาณซึ่งจะทำลายพืชผักได้ทั่วทั้งทวีป หรือเชื้อโรคพันธุ์ที่คงทนต่อภูมิต้านทานของร่างกาย บางคนขะมักเขม้นอยู่กับการผลิตยานซึ่งเคลื่อนไปใต้ดินเหมือนเรือดำน้ำที่แล่นใต้น้ำ หรือเรือบินที่เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาสนามบินดังเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเล
บางคนก็ตั้งหน้าสำรวจความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น การรวมแสงอาทิตย์ผ่านเลนส์ที่ติดไว้ในอวกาศออกไปเป็นพัน ๆ กิโลเมตร หรือไม่ก็ผลิตแผ่นดินไหวและกระแสน้ำเทียมโดยให้ความร้อนจากศูนย์กลางของโลก"
-----------------------------------------------------------------