World Doctors Alliance (พันธมิตรแพทย์ทั่วโลก)
มีผู้ลงนามแล้ว: 61,258 รายชื่อ
- โรคโควิดได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอันตรายน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ในฤดูที่ผ่านมา - มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวน 50,100 คน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2017 ถึงมีนาคม 2018 ในอังกฤษและเวลส์ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดทั้งหมด 80,000 รายในปี 1969 จนถึงปัจจุบันในประเทศอังกฤษเรามีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิดไปประมาณ 42,000 ราย
- เราไม่เคยมีมาตรการล็อคดาวน์สำหรับไวรัสทางเดินหายใจมาก่อน
- พื้นฐานของการล็อคดาวน์มาจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดยศาสตราจารย์ นีล เฟอร์กูสัน ซึ่งจากแบบจำลองนั้นเขาได้ทำนายว่าจะมีการเสียชีวิตถึงครึ่งล้านรายในประเทศอังกฤษ และมันได้รับการประณามอย่างต่อเนื่องว่านำมาใช้โดยไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เขาได้ประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัดไปประมาณ 10 หรือ 12 เท่า (อ้างอิง 1)
- การสร้างแบบจำลองของศาสตราจารย์เฟอร์กูสันยังไม่เคยได้รับการตรวจสอบจากนักวิชาการท่านอื่น (peer reviewed) ก่อนที่จะถูกนำมาใช้ในหลาย ๆ ประเทศ แต่นักระบาดวิทยาที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น ศาสตราจารย์คุปตา (Professor Gupta) จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกลับถูกเพิกเฉย ทั้งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตต่ำกว่ามาก
- ศาสตราจารย์เฟอร์กูสันมีประวัติอันยาวนานเกี่ยวกับการสร้างแบบจำลองที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งเขาคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับโรคซาร์ส (sars) โรควัวบ้า (CJD) และโรคไข้หวัดหมู แต่ทำไมโลกยังฟังเขาอยู่อีก (อ้างอิง 2)
- ในประเทศที่ไม่มีการล็อคดาวน์อย่างสวีเดน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเบลารุส ล้วนทำได้ดีกว่าเราในแง่ของจำนวนร้อยละของผู้เสียชีวิตต่อประชากร และพวกเขายังมีภูมิคุ้มกันหมู่และยังคงความสมบูรณ์ของระบบเศรษฐกิจไว้ได้
- การล็อคดาวน์ไม่ได้ช่วยชีวิตผู้คนและข้อมูลนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ‘…. จากการวิเคราะห์ของเราการล็อคดาวน์เต็มรูปแบบและการทดสอบ COVID-19 ในวงกว้างไม่มีส่วนสัมพันธ์กับการลดจำนวนผู้ป่วยวิกฤตหรือการเสียชีวิตโดยรวมลง’ (อ้างอิง 3)
- การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดในผู้สูงอายุและผู้ที่มีอายุมาก
- การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอยู่ก่อนแล้ว เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด อัลไซเมอร์ เบาหวาน เป็นต้น
- โรคโควิดแทบจะไม่มีความเสี่ยงต่อผู้ที่อายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งมีโอกาสจะถูกฟ้าผ่ามากกว่าการเสียชีวิตจากโควิดซะอีก
- โรคโควิดมีความเสี่ยงน้อยมากสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุจมน้ำมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคโควิดด้วยซ้ำ
- การกักบริเวณของคนทั้งประเทศเป็นกลายเป็นสิ่งจำเป็น ท้้งที่เราไม่เคยต้องแยกคนที่มีสุขภาพดีมาก่อน
- การแยกผู้ป่วยและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องนั้นสมเหตุสมผล แต่การแยกคนที่มีสุขภาพดีออกเป็นการขัดขวางการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
- หากจะกล่าวให้เห็นภาพชัดขึ้น ปี 2015 ในประเทศอังกฤษเรามีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ 115,000 ราย เปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากโรคโควิดมีจำนวน 42,000 ราย
- ในประเทศอังกฤษโดยปกติเรามีผู้เสียชีวิตประมาณ 600,000 คนทุกปี โดยประมาณ 1,600 รายต่อวัน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมของการรักษานั้นแย่กว่าตัวไวรัสซะอีก (Collateral Damage The Cure Is Worse Than The Virus)
- การให้ประชาชนถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างนับไม่ถ้วน (อ้างอิง 1)
- การระบายอากาศให้กับผู้ป่วย (ventilating patients) แทนการให้ออกซิเจนกับผู้ป่วยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นนโยบายที่ร้ายแรงถึงกับชีวิตและเป็นความล้มเหลวที่ไม่มีเหตุผล
- การระบายอากาศส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 2)
- การส่งผู้ติดเชื้อจากโรงพยาบาลไปยังบ้านพักคนชราทำให้ผู้สูงอายุอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 3)
- การออกคำสั่งแบบเหมารวมในการห้ามกู้ชีพ (Do Not Resuscitate - DNR) ถูกบังคับใช้กับผู้คนหลายพันคนโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือไม่ได้รับความยินยอมจากครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม และนำไปสู่การเสียชีวิตโดยไม่จำเป็นในสถานสงเคราะห์ (อ้างอิง 4)
- โรงพยาบาลกลายเป็นศูนย์เฉพาะของผู้ป่วยจำนวนมากที่ถูกละเลยโดยเจตนา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 5)
- รายงานของรัฐบาลเองคาดการณ์ไว้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตราว 2 แสนราย ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการล็อคดาวน์ไม่ใช่จากเชื้อไวรัส เหตุเพราะโรงพยาบาลถูกปิด มีการฆ่าตัวตาย และปัญหาความยากจนจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าเชื้อไวรัส (อ้างอิง 6)
- การรักษาเลวร้ายยิ่งกว่าตัวโรคเองซะอีก!
ใบมรณบัตร (อ้างอิง 1) (Death Certificates)
- คนส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวาน
- การออกใบมรณบัตรที่มีการ "อ้างถึง" โรคโควิดโดยระบุว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้มีปริมาณผู้เสียชีวิตเกินจริงไปอย่างมาก
- ข้อกำหนดในใบมรณบัตรมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะสำหรับโรคโควิดโดยพระราชบัญญัติ Coronavirus 2020 Act
- แพทย์ไม่จำเป็นต้องเห็นผู้ป่วยทางกายภาพเพื่อเซ็นใบมรณบัตร พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถอดความจำเป็นในการขอใบรับรองแพทย์สำหรับการเผาศพ
- ในพระราชบัญญัติมีการห้ามไม่ให้กระทำการชันสูตรพลิกศพ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิต ซ้ำยังเป็นการลดทอนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโรคนี้ด้วย
- ที่แย่ไปกว่านั้นคือการให้เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านพักคนชราซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีการฝึกอบรมทางการแพทย์ สามารถให้คำชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้
- โรคโควิดถูกระบุบนใบมรณบัตรเพียงเพราะความ "สงสัย" ของผู้ที่มีเชื้อโควิด ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นการปลอมใบมรณบัตรถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง
- ผู้ที่เสียชีวิตภายใน 28 วันหลังจากการถูกตรวจสอบด้วยชุดตรวจ PCR ว่าเป็นผลบวก จะถือว่าเสียชีวิตจากโรคโควิดแม้ว่าจะเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือจากอาการหัวใจวาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่ามันทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคนี้นั้นสูงเกินจริง (อ้างอิง 2)
ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (Economic Ruin)
- ขณะนี้มีรายงานที่คาดการณ์ว่าผู้คนจำนวนมากถึง 6,500,000 คน ในประเทศอังกฤษจะตกงานอันเป็นผลมาจากการล็อคดาวน์ (อ้างอิง 1)
- เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าความยากจนนั้นส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพ เราสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเห็นผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานกับสุขภาพที่ไม่ดี และจะเป็นสาเหตุให้มีการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมากอันเป็นผลโดยตรงจากการล็อคดาวน์
การเซ็นเซอร์ (Censorship)
- รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างมุ่งร้ายในการเซ็นเซอร์แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ทั้งที่ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล และวิชาชีพทางการแพทย์ก็มีหน้าที่ดูแลประชาชน และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน (อ้างอิง 1)
- ทางการแพทย์ไม่ได้รับอนุญาตให้แจ้งต่อสาธารณชนทราบว่าหอผู้ป่วยโควิดว่างเปล่ามาหลายเดือนแล้ว และการเสียชีวิตจากโรคโควิดก็อยู่ในระดับต่ำมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือน และสิ่งเหล่านี้ได้เพิ่มความเป็นทุกข์และก่อให้เกิดความวิตกกังวลของประชาชนโดยไม่จำเป็น
- แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีมุมมองที่แตกต่างจากเรื่องเล่าของรัฐบาลถูกลบวิดีโอและบทความของพวกเขาออกจากอินเทอร์เน็ต
การตรวจหาเชื้อ - การระบุผลบวกที่ไม่ถูกต้อง (Testing - False Positives)
- การใช้ชุดตรวจ PCR ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้เนื่องจากมันไม่มี "มาตรฐาน" สำหรับการตรวจเพราะตัวเชื้อไวรัสยังไม่ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ (อ้างอิง 1)
- ชุดตรวจ PCR ไม่สามารถตรวจจับปริมาณไวรัสได้ และมีแนวโน้มที่จะเกิดผลบวกปลอม (อ้างอิง 2)
- ผลบวกที่ได้จากชุดตรวจ PCR ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นมีการติดเชื้อแล้วหรืออยู่ในขั้นตอนของการติดเชื้อ (อ้างอิง 3)
- ในความเป็นจริงประมาณ 90% ของ "เคส" ที่ได้ผลบวกจากชุดตรวจ PCR เป็นผลบวกปลอม เราจึงไม่มีคลื่นลูกที่สอง (second wave) และไม่มีการแพร่ระบาด (อ้างอิง 4 และ 5)
- รายงานของรัฐบาลประเมินอัตราผลบวกที่ผิดพลาดระหว่าง 0.8 ถึง 4.0% โดยใช้ข้อมูลจากการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากโรคโควิด (อ้างอิง 6)
- ชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสอาจหลงเหลืออยู่ในร่างกายของคนเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังจากหายจากการติดเชื้อแล้ว (อ้างอิง 7)
- วิกฤตจะไม่มีทางสิ้นสุดหากเรารอคอยให้การทดสอบของผลบวกลดลงจนกลายเป็นศูนย์ ทุกคนสามารถมีอาการเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสได้ และมีแนวโน้มที่จะมีชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสบางส่วนที่ตรงกับไวรัสใกล้เคียงอย่าง SARS-CoV-2 virus (อ้างอิง 8)
- การทดสอบกับบุคคลที่ไม่มีอาการและมีสุขภาพดีอยู่แล้วนั้นไม่สมเหตุสมผล และไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ถือเป็นการสิ้นเปลืองเงินอย่างมหาศาล
- โปรแกรมการทดสอบประจำวันของรัฐบาลจะใช้เงินประมาณ 100 พันล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับสองในสามของงบประมาณประจำปีของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ
- การทดสอบแอนติบอดีไม่ใช่มาตรฐานที่เหมาะสมเนื่องจากหลายคนมีภูมิคุ้มกัน T-cell อยู่แล้ว และแอนติบอดีอาจไม่ยังไหลเวียนหลังจากมีการฟื้นตัวหลังจากการติดเชื้อ
- ยา Hydroxychloroquine (HCQ) ที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมโดย WHO, CDC, NIH และสื่อมวลชน
- ถึงอย่างไรก็ตามยา HCQ ได้รับการสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากบุคลากรหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ Harvey Risch นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัย Yale, สมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Association of Physicians and Surgeons - AAPS), แพทย์แนวรบอเมริกัน (American Frontline Doctors), ระบบสุขภาพ Henry Ford (Henry Ford Health System) และ Professor Didier Raoult นักจุลชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น (อ้างอิง 1)
- วารสาร Lancet ถูกบังคับให้ถอดบทความที่ศึกษาเกี่ยวกับตัวยา HCQ หลังจากที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนเปิดเผยว่าพวกเขาประดิษฐ์และเขียนบทความนี้ขึ้นโดยนักเขียนไซไฟและดาราหนังโป๊ แม้มีการเปิดเผยเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้ ยา HCQ ก็ยังถูกห้ามในประเทศส่วนใหญ่ (อ้างอิง 2)
- ตามข้อมูลของสมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAPS) ยา HCQ มีอัตราการรักษาหายสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ (90%) เมื่อได้รับยาในช่วงต้นและควบคู่ไปกับการให้ธาตุสังกะสี (อ้างอิง 3)
- ยา HCQ ปลอดภัยกว่ายาที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปเช่นแอสไพริน Benadryl และ Tylenol
- สมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAPS) ยังชี้ให้เห็นว่าไม่เคยมีวัคซีนใดที่ปลอดภัยเท่ายา HCQ (อ้างอิง 4)
- ตัวยา HCQ ได้รับใบอนุญาตมานานกว่า 60 ปี และมีผู้ใช้อยู่หลายพันล้านคนทั่วโลกอย่างปลอดภัย มีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดภาวะเลือดคั่งซึ่งตรวจสอบได้ง่าย
- ทำไมยา HCQ ถึงถูกแบน? เป็นไปได้ไหมที่มันจะไม่สามารถทำผลกำไรได้มหาศาลเพราะเป็นยาที่ไม่มีสิทธิบัตร (out-of-patent drug)? ยา HCQ ถูกนำมาใช้และก่อให้เกิดผลดีในการระบาดของโรค Sars 1 ในปี 2005 (อ้างอิง 5)
- กล่าวอย่างสั้น ๆ หากเรามีตัวยา HCQ นี้แล้วก็แปลว่าจะไม่มีโรคระบาดนี้เกิดขึ้น!
การป้องกัน (Prevention)
- ควรมีการแนะนำประชาชนถึงมาตรการการป้องกัน เช่น การใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine- HCQ) หรือวิตามิน D, C และสังกะสี
- การรักษาด้วย calcifediol (25-hydroxyvitamin D) ในระยะเริ่มต้นสำหรับผู้ป่วยโรคโควิดในโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยลดการรับผู้ป่วยหนักอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง 2)
- วิตามิน D ช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด (อ้างอิง 2 และ 3)
- การแยกผู้ป่วยโดยสมัครใจ - พวกเขาควรเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองหรือมีการใช้ร่วมกับมาตรการป้องกันด้วย ก็จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่ามาก สังคมที่เหลือก็จะสามารถและควรจะได้ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ
วัคซีน (Vaccine)
- การใช้วัคซีนอย่างเร่งด่วนไม่ควรเป็นประเด็นในความสนใจของประชาชน การให้ความคุ้มครองกับผู้ผลิตวัคซีนต่อความรับผิดทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์สูงสุดของสาธารณชนอย่างชัดเจน
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflicts of Interest)
- Sir Patrick Vallance ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล (Chief Scientific Officer) มีหุ้นมูลค่า 600,000 ปอนด์ในบริษัทยา GSK (Glaxo Smith Klein - เป็นบริษัทยาจากประเทศอังกฤษ) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้รับเงิน 5 ล้านปอนด์ จากการขายหุ้นใน GSK ซึ่งเขาได้รับในขณะที่เป็นหัวหน้าของ GSK (อ้างอิง 1)
- Sir Chris Whitty หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของสหราชอาณาจักรยอมรับเงินทุนกว่า 30 ล้านปอนด์จากมูลนิธิ Bill and Melinda Gates เพื่อศึกษาวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรีย (อ้างอิง 2)
- เป็นที่ชัดเจนว่าสมาชิกของ SAGE, Public Health England (PHE), องค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรค (CDC), สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ฯลฯ มีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย พวกเขาทั้งหมดยอมรับ "การบริจาค" จำนวนมากจากอุตสาหกรรมยาและวัคซีน
- ความทับซ้อนทางผลประโยชน์เหล่านี้อาจทำให้ความซื่อสัตย์ของพวกเขาเสียหายอย่างมีประสิทธิผล (อ้างอิง 3)
- นอกจากนี้ยังเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลถูกล่อลวงอย่างหนักจากอุตสาหกรรมยาและอุตสาหกรรมวัคซีนซึ่งอาจทำให้ความซื่อสัตย์ของพวกเขาลดลง (อ้างอิง 4)
ผลประโยชน์ของใคร? (CUI BONO?)
- ผู้ผลิตวัคซีนจะทำรายได้หลายล้านล้านจากสิ่งนี้ เช่นเดียวกับผู้ผลิตด้านการติดตามและการเก็บร่องรอย และอุตสาหกรรมยาก็อยู่ในจุดที่จะทำเงินหลายล้านล้านจากการตรวจสอบโรคโควิด
- นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันประกาศว่าการตรวจสอบแบบ "moon shot" รูปแบบใหม่จะมีค่าใช้จ่าย 100 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 2 ใน 3 ของงบประมาณประจำปีของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ
- แน่นอนว่าเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะดีกว่ามากหากมันถูกนำมาใช้กับการรักษาผู้ป่วยที่ถูกทอดทิ้งทั้งหมด ซึ่งถูกละเลยโดยเจตนาในระหว่างการล็อคดาวน์และตอนนี้ต้องเผชิญกับรายการรอคอยจำนวนมาก
บทสรุป (Conclusions)
- เรามีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และมียาป้องกันสำหรับโรคโควิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขของการล็อคดาวน์ และมาตรการที่เกี่ยวข้อง
- การระบาดนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วโดยเห็นได้จากอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา
- เราเรียกร้องให้ยุติมาตรการล็อคดาวน์ทั้งหมดอย่างถาวรทันที การล็อคดาวน์ไม่ได้ช่วยชีวิตใคร นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาไม่เคยใช้มาก่อน สิทธิเสรีภาพและเสรีภาพขั้นพื้นฐานถูกตัดออกจากสาธารณะโดยไม่จำเป็น และสิ่งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก
- ต้องมีมาตรการป้องกันเช่น การใช้ยา Hydroxychloroquine วิตามิน C วิตามิน D และสังกะสี ควรมีพร้อมให้บริการแก่สาธารณชน
- การแยกตัวต้องเป็นไปโดยสมัครใจ ผู้คนสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบและต้องมีอิสระในการดำเนินชีวิตตามที่พวกเขาเลือก ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะแยกหรือไม่ก็ได้
- ในทำนองเดียวกันภาคธุรกิจต้องมีสิทธิ์ที่จะเปิดให้บริการหากพวกเขาประสงค์เช่นนั้น
- เราเรียกร้องให้แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับอนุญาตให้พูดโดยเสรีและจะไม่ถูกเซ็นเซอร์อีก
- ศาสตราจารย์ มาร์ค วูลเฮาส์ (Professor Mark Woolhouse) นักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ (Edinburgh University) สมาชิกของกลุ่มโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรม (Scientific Pandemic Influenza Group on Behaviours) ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลระบุว่า -