วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563

81) จดหมายเปิดผนึกของพันธมิตรแพทย์ทั่วโลกกับกรณีการระบาดของโรคโควิด

World Doctors Alliance (พันธมิตรแพทย์ทั่วโลก)  

UNITING AROUND THE WORLD WITH INTEGRITY AND RIGHT ACTION. 
(การรวมตัวกันทั่วโลกด้วยความซื่อสัตย์และเพื่อการกระทำที่ถูกต้อง)

World Doctors Alliance (พันธมิตรแพทย์ทั่วโลก) เป็นกลุ่มพันธมิตรที่ไม่แสวงหาผลกำไรของแพทย์ พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และเจ้าหน้าที่ทั่วโลก ได้มารวมตัวกันเพื่อกระตุ้นให้มีการตอบโต้ แบ่งปันประสบการณ์ และมุมมองในการขอให้ยกเลิกการล็อคดาวน์ รวมถึงมาตรการที่สร้างความเสียหายอื่น ๆ เพื่อรื้อฟื้นปัจจัยการความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางจิตใจและร่างกายของมนุษยชาติทั้งมวล  


พวกเราคือใคร? 


จดหมายเปิดผนึกถึงประชากรทั่วโลกและรัฐบาลของทุกประเทศ 
ข้อมูลล่าสุด: 23 ธ.ค. 2563 

มีผู้ลงนามแล้ว: 61,258 รายชื่อ 

ข้อมูลเว็บไซต์ 30 วันล่าสุด 
จำนวนครั้งของการอ่าน: 903,794 ครั้ง 
จำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกัน: 204,641 คน 


บทนำ (Introduction) 
เหตุผลแรกในการล็อคดาวน์ที่เราได้รับการบอกกล่าวคือการพยายาม "ทำให้กราฟเส้นโค้งมันลดลง" และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service) ต้องรับศึกหนักมากเกินไป  

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ไม่ได้ตกอยู่ในภาวะอันตรายใด ๆ จากการต้องรับศึกหนักครั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 หอผู้ป่วยโควิดส่วนใหญ่ก็ว่างเปล่า และที่สำคัญผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก 

ตอนนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่า ‘เคส’ ‘การติดเชื้อ’ และ ‘ผลตรวจเป็นบวก’ หลายแสนราย แต่เราแทบไม่มีผู้ป่วยเลย โปรดรู้ไว้ว่าสี่ในห้า (80%) ของ "การติดเชื้อ" ไม่แสดงอาการป่วย (อ้างอิง 1) หอผู้ป่วยโควิดว่างเปล่าตลอดเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2020 ที่สำคัญที่สุดการเสียชีวิตจากไวรัสโควิดอยู่ที่ระดับต่ำมาตลอด และเป็นที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้ว ‘เคส’ เหล่านี้ไม่ใช่ ‘เคส’ แต่เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติดี 

สิ่งที่เรียกว่า "เคสที่ไม่แสดงอาการ" ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโรคระบบทางเดินหายใจที่เป็นตัวขับเคลื่อนการแพร่กระจายของเชื้อ และการแพร่เชื้อต้องเป็นคนที่มีอาการในระบบทางเดินหายใจ - ไม่ใช่คนที่ไม่แสดงอาการ (อ้างอิง 2)  

เป็นที่ชัดเจนอย่างมากว่า ‘การระบาดใหญ่’ สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 (อ้างอิง 3)  

เรามีแนวโน้มสูงมากกับการมีภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน  

เรามีการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมาก และมีการป้องกันโรคโควิดที่ดี ดังนั้นเราจึงขอเรียกร้องให้ยุติมาตรการล็อคดาวน์ทั้งหมดโดยทันที รวมถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) การสวมหน้ากาก การทดสอบส่วนบุคคลที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว การติดตามและการเก็บร่องรอย การใช้หนังสือเดินทางเพื่อระบุการมีภูมิคุ้มกัน (immunity passports) โปรแกรมการฉีดวัคซีนและอื่น ๆ 

ขณะนี้รัฐบาลออกนโยบายมาเป็นจำนวนมากที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์และไม่สมเหตุสมผลที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของเรา ยกตัวอย่างเช่น เสรีภาพในการใช้เคลื่อนที่ เสรีภาพในการพูด และเสรีภาพในการชุมนุม มาตรการเผด็จการเหล่านี้จะต้องไม่ถูกนำมาใช้ซ้ำ 


การล็อคดาวน์ (Lockdown) 
  • โรคโควิดได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอันตรายน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ในฤดูที่ผ่านมา - มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวน 50,100 คน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2017 ถึงมีนาคม 2018 ในอังกฤษและเวลส์ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดทั้งหมด 80,000 รายในปี 1969 จนถึงปัจจุบันในประเทศอังกฤษเรามีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิดไปประมาณ 42,000 ราย  
  • เราไม่เคยมีมาตรการล็อคดาวน์สำหรับไวรัสทางเดินหายใจมาก่อน 
  • พื้นฐานของการล็อคดาวน์มาจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดยศาสตราจารย์ นีล เฟอร์กูสัน ซึ่งจากแบบจำลองนั้นเขาได้ทำนายว่าจะมีการเสียชีวิตถึงครึ่งล้านรายในประเทศอังกฤษ และมันได้รับการประณามอย่างต่อเนื่องว่านำมาใช้โดยไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เขาได้ประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัดไปประมาณ 10 หรือ 12 เท่า (อ้างอิง 1) 
  • การสร้างแบบจำลองของศาสตราจารย์เฟอร์กูสันยังไม่เคยได้รับการตรวจสอบจากนักวิชาการท่านอื่น (peer reviewed) ก่อนที่จะถูกนำมาใช้ในหลาย ๆ ประเทศ แต่นักระบาดวิทยาที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น ศาสตราจารย์คุปตา (Professor Gupta) จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกลับถูกเพิกเฉย ทั้งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตต่ำกว่ามาก 
  • ศาสตราจารย์เฟอร์กูสันมีประวัติอันยาวนานเกี่ยวกับการสร้างแบบจำลองที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งเขาคิดผิดอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับโรคซาร์ส (sars) โรควัวบ้า (CJD) และโรคไข้หวัดหมู แต่ทำไมโลกยังฟังเขาอยู่อีก (อ้างอิง 2) 
  • ในประเทศที่ไม่มีการล็อคดาวน์อย่างสวีเดน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเบลารุส ล้วนทำได้ดีกว่าเราในแง่ของจำนวนร้อยละของผู้เสียชีวิตต่อประชากร และพวกเขายังมีภูมิคุ้มกันหมู่และยังคงความสมบูรณ์ของระบบเศรษฐกิจไว้ได้ 
  • การล็อคดาวน์ไม่ได้ช่วยชีวิตผู้คนและข้อมูลนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ‘…. จากการวิเคราะห์ของเราการล็อคดาวน์เต็มรูปแบบและการทดสอบ COVID-19 ในวงกว้างไม่มีส่วนสัมพันธ์กับการลดจำนวนผู้ป่วยวิกฤตหรือการเสียชีวิตโดยรวมลง’ (อ้างอิง 3) 
  • การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดในผู้สูงอายุและผู้ที่มีอายุมาก  
  • การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอยู่ก่อนแล้ว เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด อัลไซเมอร์ เบาหวาน เป็นต้น 
  • โรคโควิดแทบจะไม่มีความเสี่ยงต่อผู้ที่อายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งมีโอกาสจะถูกฟ้าผ่ามากกว่าการเสียชีวิตจากโควิดซะอีก 
  • โรคโควิดมีความเสี่ยงน้อยมากสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งมีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุจมน้ำมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคโควิดด้วยซ้ำ  
  • การกักบริเวณของคนทั้งประเทศเป็นกลายเป็นสิ่งจำเป็น ท้้งที่เราไม่เคยต้องแยกคนที่มีสุขภาพดีมาก่อน 
  • การแยกผู้ป่วยและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องนั้นสมเหตุสมผล แต่การแยกคนที่มีสุขภาพดีออกเป็นการขัดขวางการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล 
  •  หากจะกล่าวให้เห็นภาพชัดขึ้น ปี 2015 ในประเทศอังกฤษเรามีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ 115,000 ราย เปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากโรคโควิดมีจำนวน 42,000 ราย 
  • ในประเทศอังกฤษโดยปกติเรามีผู้เสียชีวิตประมาณ 600,000 คนทุกปี โดยประมาณ 1,600 รายต่อวัน 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมของการรักษานั้นแย่กว่าตัวไวรัสซะอีก (Collateral Damage The Cure Is Worse Than The Virus)  
  • การให้ประชาชนถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างนับไม่ถ้วน (อ้างอิง 1) 
  • การระบายอากาศให้กับผู้ป่วย (ventilating patients) แทนการให้ออกซิเจนกับผู้ป่วยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นนโยบายที่ร้ายแรงถึงกับชีวิตและเป็นความล้มเหลวที่ไม่มีเหตุผล 
  • การระบายอากาศส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 2) 
  • การส่งผู้ติดเชื้อจากโรงพยาบาลไปยังบ้านพักคนชราทำให้ผู้สูงอายุอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 3) 
  • การออกคำสั่งแบบเหมารวมในการห้ามกู้ชีพ (Do Not Resuscitate - DNR) ถูกบังคับใช้กับผู้คนหลายพันคนโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือไม่ได้รับความยินยอมจากครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม และนำไปสู่การเสียชีวิตโดยไม่จำเป็นในสถานสงเคราะห์ (อ้างอิง 4)  
  • โรงพยาบาลกลายเป็นศูนย์เฉพาะของผู้ป่วยจำนวนมากที่ถูกละเลยโดยเจตนา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก (อ้างอิง 5) 
  • รายงานของรัฐบาลเองคาดการณ์ไว้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตราว 2 แสนราย ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการล็อคดาวน์ไม่ใช่จากเชื้อไวรัส เหตุเพราะโรงพยาบาลถูกปิด มีการฆ่าตัวตาย และปัญหาความยากจนจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าเชื้อไวรัส (อ้างอิง 6) 
  • การรักษาเลวร้ายยิ่งกว่าตัวโรคเองซะอีก! 

ใบมรณบัตร (อ้างอิง 1) (Death Certificates) 
  • คนส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวาน  
  • การออกใบมรณบัตรที่มีการ "อ้างถึง" โรคโควิดโดยระบุว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้มีปริมาณผู้เสียชีวิตเกินจริงไปอย่างมาก  
  • ข้อกำหนดในใบมรณบัตรมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะสำหรับโรคโควิดโดยพระราชบัญญัติ Coronavirus 2020 Act 
  • แพทย์ไม่จำเป็นต้องเห็นผู้ป่วยทางกายภาพเพื่อเซ็นใบมรณบัตร พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถอดความจำเป็นในการขอใบรับรองแพทย์สำหรับการเผาศพ  
  • ในพระราชบัญญัติมีการห้ามไม่ให้กระทำการชันสูตรพลิกศพ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิต ซ้ำยังเป็นการลดทอนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโรคนี้ด้วย 
  • ที่แย่ไปกว่านั้นคือการให้เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านพักคนชราซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีการฝึกอบรมทางการแพทย์ สามารถให้คำชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้ 
  • โรคโควิดถูกระบุบนใบมรณบัตรเพียงเพราะความ "สงสัย" ของผู้ที่มีเชื้อโควิด ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นการปลอมใบมรณบัตรถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง 
  • ผู้ที่เสียชีวิตภายใน 28 วันหลังจากการถูกตรวจสอบด้วยชุดตรวจ PCR ว่าเป็นผลบวก จะถือว่าเสียชีวิตจากโรคโควิดแม้ว่าจะเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือจากอาการหัวใจวาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่ามันทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคนี้นั้นสูงเกินจริง (อ้างอิง 2) 


ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (Economic Ruin) 
  • ขณะนี้มีรายงานที่คาดการณ์ว่าผู้คนจำนวนมากถึง 6,500,000 คน ในประเทศอังกฤษจะตกงานอันเป็นผลมาจากการล็อคดาวน์ (อ้างอิง 1)  
  • เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าความยากจนนั้นส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพ เราสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเห็นผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานกับสุขภาพที่ไม่ดี และจะเป็นสาเหตุให้มีการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมากอันเป็นผลโดยตรงจากการล็อคดาวน์


การเซ็นเซอร์ (Censorship) 
  • รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างมุ่งร้ายในการเซ็นเซอร์แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ทั้งที่ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล และวิชาชีพทางการแพทย์ก็มีหน้าที่ดูแลประชาชน และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน (อ้างอิง 1) 
  • ทางการแพทย์ไม่ได้รับอนุญาตให้แจ้งต่อสาธารณชนทราบว่าหอผู้ป่วยโควิดว่างเปล่ามาหลายเดือนแล้ว และการเสียชีวิตจากโรคโควิดก็อยู่ในระดับต่ำมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือน และสิ่งเหล่านี้ได้เพิ่มความเป็นทุกข์และก่อให้เกิดความวิตกกังวลของประชาชนโดยไม่จำเป็น 
  • แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีมุมมองที่แตกต่างจากเรื่องเล่าของรัฐบาลถูกลบวิดีโอและบทความของพวกเขาออกจากอินเทอร์เน็ต 


การตรวจหาเชื้อ - การระบุผลบวกที่ไม่ถูกต้อง (Testing - False Positives) 
  • การใช้ชุดตรวจ PCR ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้เนื่องจากมันไม่มี "มาตรฐาน" สำหรับการตรวจเพราะตัวเชื้อไวรัสยังไม่ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ (อ้างอิง 1) 
  • ชุดตรวจ PCR ไม่สามารถตรวจจับปริมาณไวรัสได้ และมีแนวโน้มที่จะเกิดผลบวกปลอม (อ้างอิง 2) 
  • ผลบวกที่ได้จากชุดตรวจ PCR ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นมีการติดเชื้อแล้วหรืออยู่ในขั้นตอนของการติดเชื้อ (อ้างอิง 3) 
  •  ในความเป็นจริงประมาณ 90% ของ "เคส" ที่ได้ผลบวกจากชุดตรวจ PCR เป็นผลบวกปลอม เราจึงไม่มีคลื่นลูกที่สอง (second wave) และไม่มีการแพร่ระบาด (อ้างอิง 4 และ 5) 
  • รายงานของรัฐบาลประเมินอัตราผลบวกที่ผิดพลาดระหว่าง 0.8 ถึง 4.0% โดยใช้ข้อมูลจากการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากโรคโควิด (อ้างอิง 6)  
  • ชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสอาจหลงเหลืออยู่ในร่างกายของคนเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังจากหายจากการติดเชื้อแล้ว (อ้างอิง 7) 
  • วิกฤตจะไม่มีทางสิ้นสุดหากเรารอคอยให้การทดสอบของผลบวกลดลงจนกลายเป็นศูนย์ ทุกคนสามารถมีอาการเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสได้ และมีแนวโน้มที่จะมีชิ้นส่วนของเชื้อไวรัสบางส่วนที่ตรงกับไวรัสใกล้เคียงอย่าง SARS-CoV-2 virus (อ้างอิง 8)  
  • การทดสอบกับบุคคลที่ไม่มีอาการและมีสุขภาพดีอยู่แล้วนั้นไม่สมเหตุสมผล และไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ถือเป็นการสิ้นเปลืองเงินอย่างมหาศาล 
  • โปรแกรมการทดสอบประจำวันของรัฐบาลจะใช้เงินประมาณ 100 พันล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับสองในสามของงบประมาณประจำปีของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ 
  • การทดสอบแอนติบอดีไม่ใช่มาตรฐานที่เหมาะสมเนื่องจากหลายคนมีภูมิคุ้มกัน T-cell อยู่แล้ว และแอนติบอดีอาจไม่ยังไหลเวียนหลังจากมีการฟื้นตัวหลังจากการติดเชื้อ


ยา HYDROXYCHLOROQUINE 
  • ยา Hydroxychloroquine (HCQ) ที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมโดย WHO, CDC, NIH และสื่อมวลชน  
  • ถึงอย่างไรก็ตามยา HCQ ได้รับการสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากบุคลากรหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ Harvey Risch นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัย Yale, สมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Association of Physicians and Surgeons - AAPS), แพทย์แนวรบอเมริกัน (American Frontline Doctors), ระบบสุขภาพ Henry Ford (Henry Ford Health System) และ Professor Didier Raoult นักจุลชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น (อ้างอิง 1) 
  • วารสาร Lancet ถูกบังคับให้ถอดบทความที่ศึกษาเกี่ยวกับตัวยา HCQ หลังจากที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนเปิดเผยว่าพวกเขาประดิษฐ์และเขียนบทความนี้ขึ้นโดยนักเขียนไซไฟและดาราหนังโป๊ แม้มีการเปิดเผยเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้ ยา HCQ ก็ยังถูกห้ามในประเทศส่วนใหญ่ (อ้างอิง 2) 
  • ตามข้อมูลของสมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAPS) ยา HCQ มีอัตราการรักษาหายสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ (90%) เมื่อได้รับยาในช่วงต้นและควบคู่ไปกับการให้ธาตุสังกะสี (อ้างอิง 3) 
  • ยา HCQ ปลอดภัยกว่ายาที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปเช่นแอสไพริน Benadryl และ Tylenol  
  • สมาคมแพทย์และศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAPS) ยังชี้ให้เห็นว่าไม่เคยมีวัคซีนใดที่ปลอดภัยเท่ายา HCQ (อ้างอิง 4)  
  • ตัวยา HCQ ได้รับใบอนุญาตมานานกว่า 60 ปี และมีผู้ใช้อยู่หลายพันล้านคนทั่วโลกอย่างปลอดภัย มีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดภาวะเลือดคั่งซึ่งตรวจสอบได้ง่าย 
  • ทำไมยา HCQ ถึงถูกแบน? เป็นไปได้ไหมที่มันจะไม่สามารถทำผลกำไรได้มหาศาลเพราะเป็นยาที่ไม่มีสิทธิบัตร (out-of-patent drug)? ยา HCQ ถูกนำมาใช้และก่อให้เกิดผลดีในการระบาดของโรค Sars 1 ในปี 2005 (อ้างอิง 5) 
  • กล่าวอย่างสั้น ๆ หากเรามีตัวยา HCQ นี้แล้วก็แปลว่าจะไม่มีโรคระบาดนี้เกิดขึ้น!

การป้องกัน (Prevention) 
  • ควรมีการแนะนำประชาชนถึงมาตรการการป้องกัน เช่น การใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine- HCQ) หรือวิตามิน D, C และสังกะสี  
  • การรักษาด้วย calcifediol (25-hydroxyvitamin D) ในระยะเริ่มต้นสำหรับผู้ป่วยโรคโควิดในโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยลดการรับผู้ป่วยหนักอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง 2)  
  • วิตามิน D ช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด (อ้างอิง 2 และ 3) 
  • การแยกผู้ป่วยโดยสมัครใจ - พวกเขาควรเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองหรือมีการใช้ร่วมกับมาตรการป้องกันด้วย ก็จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่ามาก สังคมที่เหลือก็จะสามารถและควรจะได้ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ  

วัคซีน (Vaccine) 
  • การใช้วัคซีนอย่างเร่งด่วนไม่ควรเป็นประเด็นในความสนใจของประชาชน การให้ความคุ้มครองกับผู้ผลิตวัคซีนต่อความรับผิดทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์สูงสุดของสาธารณชนอย่างชัดเจน 


ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflicts of Interest) 
  • Sir Patrick Vallance ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล (Chief Scientific Officer) มีหุ้นมูลค่า 600,000 ปอนด์ในบริษัทยา GSK (Glaxo Smith Klein - เป็นบริษัทยาจากประเทศอังกฤษ) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้รับเงิน 5 ล้านปอนด์ จากการขายหุ้นใน GSK ซึ่งเขาได้รับในขณะที่เป็นหัวหน้าของ GSK (อ้างอิง 1)  
  • Sir Chris Whitty หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของสหราชอาณาจักรยอมรับเงินทุนกว่า 30 ล้านปอนด์จากมูลนิธิ Bill and Melinda Gates เพื่อศึกษาวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรีย (อ้างอิง 2)  
  • เป็นที่ชัดเจนว่าสมาชิกของ SAGE, Public Health England (PHE), องค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรค (CDC), สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ฯลฯ มีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย พวกเขาทั้งหมดยอมรับ "การบริจาค" จำนวนมากจากอุตสาหกรรมยาและวัคซีน 
  • ความทับซ้อนทางผลประโยชน์เหล่านี้อาจทำให้ความซื่อสัตย์ของพวกเขาเสียหายอย่างมีประสิทธิผล (อ้างอิง 3) 
  •  นอกจากนี้ยังเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลถูกล่อลวงอย่างหนักจากอุตสาหกรรมยาและอุตสาหกรรมวัคซีนซึ่งอาจทำให้ความซื่อสัตย์ของพวกเขาลดลง (อ้างอิง 4) 


ผลประโยชน์ของใคร? (CUI BONO?)
  • ผู้ผลิตวัคซีนจะทำรายได้หลายล้านล้านจากสิ่งนี้ เช่นเดียวกับผู้ผลิตด้านการติดตามและการเก็บร่องรอย และอุตสาหกรรมยาก็อยู่ในจุดที่จะทำเงินหลายล้านล้านจากการตรวจสอบโรคโควิด  
  • นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันประกาศว่าการตรวจสอบแบบ "moon shot" รูปแบบใหม่จะมีค่าใช้จ่าย 100 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 2 ใน 3 ของงบประมาณประจำปีของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ  
  • แน่นอนว่าเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะดีกว่ามากหากมันถูกนำมาใช้กับการรักษาผู้ป่วยที่ถูกทอดทิ้งทั้งหมด ซึ่งถูกละเลยโดยเจตนาในระหว่างการล็อคดาวน์และตอนนี้ต้องเผชิญกับรายการรอคอยจำนวนมาก 

บทสรุป (Conclusions) 
  • เรามีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และมียาป้องกันสำหรับโรคโควิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขของการล็อคดาวน์ และมาตรการที่เกี่ยวข้อง 
  • การระบาดนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วโดยเห็นได้จากอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา 
  •  เราเรียกร้องให้ยุติมาตรการล็อคดาวน์ทั้งหมดอย่างถาวรทันที การล็อคดาวน์ไม่ได้ช่วยชีวิตใคร นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาไม่เคยใช้มาก่อน สิทธิเสรีภาพและเสรีภาพขั้นพื้นฐานถูกตัดออกจากสาธารณะโดยไม่จำเป็น และสิ่งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก 
  •  ต้องมีมาตรการป้องกันเช่น การใช้ยา Hydroxychloroquine วิตามิน C วิตามิน D และสังกะสี ควรมีพร้อมให้บริการแก่สาธารณชน  
  • การแยกตัวต้องเป็นไปโดยสมัครใจ ผู้คนสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบและต้องมีอิสระในการดำเนินชีวิตตามที่พวกเขาเลือก ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะแยกหรือไม่ก็ได้ 
  • ในทำนองเดียวกันภาคธุรกิจต้องมีสิทธิ์ที่จะเปิดให้บริการหากพวกเขาประสงค์เช่นนั้น  
  • เราเรียกร้องให้แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับอนุญาตให้พูดโดยเสรีและจะไม่ถูกเซ็นเซอร์อีก 
  • ศาสตราจารย์ มาร์ค วูลเฮาส์ (Professor Mark Woolhouse) นักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ (Edinburgh University) สมาชิกของกลุ่มโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรม (Scientific Pandemic Influenza Group on Behaviours) ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลระบุว่า - 
‘… การล็อคดาวน์เป็นภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลก การรักษานั้นแย่กว่าตัวโรคเสียอีก'  

‘ฉันไม่อยากเห็นการล็อคดาวน์ในประเทศอีกแล้ว มันเป็นมาตรการชั่วคราวที่ทำให้ระยะของการแพร่ระบาดที่เราเห็นในตอนนี้ล่าช้าออกไป มันจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรโดยพื้นฐาน 
และเราลดจำนวนเคสลงได้ไปน้อยมาก ' 

 ‘เราไม่ควรกลับไปยังจุดที่เด็ก ๆ ไม่สามารถไปเล่นหรือไปโรงเรียนได้อีกโดยเด็ดขาด’ 

 ‘ฉันเชื่อว่าการล็อคดาวน์นั้นเป็นอันตรายต่อระบบการศึกษา ระบบการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ 
และแผ่กว้างไปยังระบบเศรษฐกิจและสังคมของเรา ซึ่งที่สุดแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่พอ ๆ กับ
อันตรายที่เกิดจากโรคโควิด' (อ้างอิง 1) 

World Doctors Alliance เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำยืนยันของศาสตราจารย์วูลเฮาส์ เขาพูดไว้ถูกต้องแล้ว! 
เราจะต้องไม่มีการล็อคดาวน์อีก! 


 หมายเหตุคำว่า "covid" ถูกใช้เพื่อแสดงถึงโรคซาร์ส - โควี -2 และโควิด -19 (Sars-CoV-2 and Covid-19) 


บรรณานุกรม 
บทนำ 
(1) https://www.bmj.com/content/369/bmj.m1375 
(2) https://edition.cnn.com/2020/06/08/health/coronavirus-asymptomatic-spread-who-bn/index.html และ https://www.wbur.org/npr/803158339/does-the-new-coronavirus-spread-silently 
(3) https://www.england.nhs.uk/statistics/wp-content/uploads/sites/2/2020/09/COVID-19-total-announced-deaths-28-September-2020.xlsx 

 การล็อคดาวน์ 
(1) https://www.telegraph.co.uk/news/2020/05/23/lockdown-saved-no-lives-may-have-cost-nobel-prize-winner-believes/ 
(2) https://www.thetimes.co.uk/article/professors-model-for-coronavirus-predictions-should-not-have-been-used-z7dqrkzzd 
(3) https://www.thelancet.com/journals/eclinm/article/PIIS2589-5370(20)30208-X/fulltext 
 
ความเสียหายที่เกิดขึ้น 
(1) https://www.bmj.com/content/369/bmj.m1931 
(2) https://time.com/5820556/ventilators-covid-19/ 
(3) https://drmalcolmkendrick.org/2020/05/11/how-to-make-a-crisis-far-far-worse/ 
(4) https://www.qni.org.uk/news-and-events/news/major-new-survey-of-care-home-leaders-confirms-severe-impact-of-covid-19/ 
(5) https://www.bbc.com/news/health-53300784 
(6) https://www.telegraph.co.uk/news/2020/07/19/lockdown-may-cost-200k-lives-government-report-shows/ 

 ใบมรณบัตร 
(1) https://www.spectator.co.uk/article/the-way-covid-deaths-are-being-counted-is-a-national-scandal (2) https://www.telegraph.co.uk/news/2020/09/18/almost-one-third-covid-deaths-july-august-primarily-caused-conditions/ 

 ความเสียหายทางเศรษฐกิจ 
(1) https://www.independent.co.uk/news/uk/home-news/coronavirus-lockdown-job-losses-unemployment-recession-university-essex-study-a9472966.html 

 การเซ็นเซอร์ 
(1) https://www.theguardian.com/society/2020/apr/09/nhs-staff-forbidden-speaking-out-publicly-about-coronavirus 

 การตรวจหาเชื้อ 
(1) https://www.bmj.com/content/bmj/369/bmj.m1808.full.pdf 
(2) https://www.spectator.co.uk/article/how-many-covid-diagnoses-are-false-positives- 
(3) https://www.cebm.net/covid-19/infectious-positive-pcr-test-result-covid-19/ 
(4) https://lockdownsceptics.org/lies-damned-lies-and-health-statistics-the-deadly-danger-of-false-positives/ และ https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0960076020302764?via%3Dihub 
(5) https://www.anhinternational.org/news/why-your-positive-test-result-is-likely-wrong/ 
(6) https://assets.publishing.service.gov.uk/government/uploads/system/uploads/
attachment_data/file/895843/S0519_Impact_of_false_positives_and_negatives.pdf 
(7) https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIISO-140-6736(20)30868-0/fulltext 
(8) https://aapsonline.org/covid-19-what-does-a-positive-pcr-test-mean/ 

 ยา HCQ 
(1) ลิงค์ถูกลบไปแล้ว https://www.newsweek.com/key-defeating-covid-19-already-exists-we-need-start-using-it-opinion-1519535https://www.ijidonline.com/article/S1201-9712(20)30534-8/fulltext 
(2) https://www.theguardian.com/world/2020/jun/03/covid-19-surgisphere-who-world-health-organization-hydroxychloroquine 
(3) https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(20)31324-6/fulltext 
(4) https://aapsonline.org/hcq-90-percent-chance/ 
(5) https://aapsonline.org/patients-need-ability-to-choose-hydroxychloroquine-states-aaps/ 
(6) https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1232869/ 
(7) https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1232869/ 

 การป้องกัน 
(1) https://www.bmj.com/content/368/bmj.m1101/rr-10 
(2) https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0960076020302764?via%3Dihub 
(3) https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0168170220310558?via%3Dihub 

ผลประโยชน์ทับซ้อน 
(1) https://www.telegraph.co.uk/news/2020/09/23/revealed-sir-patrick-vallance-has-600000-shareholding-firm-contracted/ 
(2) https://www.telegraph.co.uk/news/2020/03/13/chris-whitty-going-viral/ 
(3) https://aapsonline.org/cdc-compromised-by-bias-and-conflicts-of-interest/ 
(4) https://www.statnews.com/feature/prescription-politics/prescription-politics/ 

บทสรุป 
(1) https://www.express.co.uk/life-style/health/1320428/Coronavirus-news-lockdown-mistake-second-wave-Boris-Johnson 

 ลงชื่อโดย 
 1. DR MOHAMMAD ADIL 
2. PROFESSOR DOLORES CAHILL 
3. DR. R. ZAC COX, BDS 
4. DR. HEIKO SCHÖNING 
5. DR. ANDREW KAUFMAN, M.D 
6. DR. SCOTT JENSEN, M.D

ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://worlddoctorsalliance.com/