วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

77) การโต้แย้งทางวิชาการระหว่าง ทัศนะโลกกลม vs โลกแบน

การโต้แย้งทางวิชาการระหว่าง
ทัศนะโลกกลม vs โลกแบน  
ได้ข้อสรุปว่า :

       1. อุละมาอฺ(ผู้รู้)ทุกยุคทุกสมัยมีความเห็นตรงกันว่า "ชั้นฟ้านั้นมีลักษณะโค้งกลม" แต่ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ถึงปัจจุบันว่า "แผ่นดินนั้นเป็นทรงกลมหรือแบน"

        2. ในอดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีอิจมะอฺ(มติเอกฉันท์)จากยุคสลัฟ(บรรพชน 300 ปีแรก)ว่า "แผ่นดินกลมเหมือนลูกบอล" รวมถึง "โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์"

       3. ไม่มีสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนจากอุละมาอฺที่ถูกอ้างถึงว่ามีทัศนะว่าแผ่นดินโลกมีสัณฐานกลม มีเพียงการตีความจากผู้กล่าวอ้างเท่านั้น

       4. อุละมาอฺที่บอกว่าแผ่นดินโลกมีสัณฐานกลม หมายถึงกลมแบบเหรียญ(ซึ่งก็คือแบน) มากกว่าที่จะกลมแบบลูกบอล

       5. หลักฐานต่างๆที่นำมาใช้ในอิจมาอฺโลกกลมสามารถอธิบายได้ด้วยโมเดลโลกแบน

ดู :  http://www.ahlalhdeeth.com/vb/showthread.php?t=179813

 

5 ข้อสังเกตอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)โลกกลม
ดู : มติเอกฉันท์โลกกลม
https://islamqa.info/en/answers/118698/consensus-that-the-earth-is-round

       1. ได้กล่าวว่า : ไม่มีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่อุละมาอฺ(รวมทั้งในอดีตและปัจจุบัน)ว่าท้องฟ้านั้นเหมือนรูปทรงกลม ในทำนองเดียวกันได้เห็นพ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าโลกโดยทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยพื้นแผ่นดินและท้องทะเลนั้นเหมือนรูปทรงกลม”  โดยใช้ทัศนะจากอิบนุอับบาสและซอฮาบะฮฺท่านอื่นๆที่ได้กล่าวถึงชั้นฟ้า(แต่ยังไม่ได้หมายรวมถึงแผ่นดิน) ที่มีลักษณะเหมือนมิกซัล(ที่ปั่นด้าย)
ดู
: มัจมูอฺฟัตวาอิบนุตัยมียะฮ์


       ซึ่งมันคือการนำชั้นฟ้าที่กลมดั่งโดมมาตีความรวมถึงแผ่นดิน ทั้งๆที่ชาวสลัฟและชาวคัมภีร์เชื่อว่
าท้องฟ้านั้นกลมอย่างแน่นอน แต่แผ่นดินนั้นแบนราบ(ไม่ได้เป็นทรงกลมแบบลูกบอล)





     2. กุรอานและฮะดีษที่ถูกนำมายืนยันว่าโลกกลมนั้นสามารถอธิบายด้วยโลกแบนได้ เช่น กลางคืนที่คาบเกี่ยวกลางวันของโลกแบน นั้นคล้ายกับหยินที่คาบเกี่ยวหยาง    



       3. ได้กล่าวว่า : ฉันไม่รู้จักผู้ใดเลยในหมู่อุละมาอฺมุสลิมที่เป็นที่รู้จักที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้(ว่าโลกกลม)เว้นเสียแต่ส่วนน้อยของบรรดาผู้ที่มีส่วนร่วมในการโต้แย้ง” 
       "ฉันไม่รู้จักผู้ใดเลยที่ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นรูปทรงกลม นอกเหนือจากคนโง่เขลาบางคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ 
       
ไม่มีอุละมาอฺมุสลิมชั้นแนวหน้าผู้คู่ควรแก่การถูกเรียกขานว่าอิหม่ามหรือผู้นำในความรู้ เลยสักท่านที่ปฏิเสธว่าโลกเป็นทรงกลม และไม่มีการรายงานจากพวกเขาที่ปฏิเสธเรื่องนั้นเลย”

       ซึ่งอิหม่ามและอุละมาอฺที่เชื่อว่าโลกแบนมีมากมายหลายท่าน(อ่านต่อในช่วงต่อไป) โดยท่านเหล่านั้นไม่คู่ควรกับคำว่าคนโง่เขลา

 

       4. ได้กล่าวว่า : นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางคณิตศาสตร์ต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว”

       ซึ่งการคำนวณทางคณิตศาสตร์นั้นไม่สามารถยืนยันความจริงทั้งหมดได้ ดังเช่นที่ Professor Herbert Dingle ได้กล่าวว่า "ในภาษาของคณิตศาสตร์ เราสามารถเล่าเรื่องโกหกได้เหมือนกับเล่าเรื่องจริงและภายในขอบเขตของคณิตศาสตร์นั้น ไม่สามารถจำแนกสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งได้" และไอนสไตน์ก็ยอมรับว่า "ตราบเท่าที่กฎทางคณิตศาสตร์อ้างถึงความเป็นจริงมันก็ยังไม่แน่นอน และตราบใดที่มันแน่นอนมันก็ไม่ได้บ่งชี้ความเป็นจริง"  


       ตัวอย่างเช่น การคำนวณหาขนาดของโลกกลมเมื่อ 2,200 ปีก่อนในยุคกรีกโดยนักปราชญ์ที่ชื่อว่า
Eratosthenes(เอราทอสเธนีส)เขาเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักกวี นักดาราศาสตร์ และเป็นนักทฤษฎีด้านดนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องสมุด Library of Alexandria ด้วย เขาได้ทำการทดลองวัดความยาวของเงาเสาซึ่งปักไว้ที่คนละเมือง และผลลัพธ์ที่ออกมาคือเงาของแต่ละเสามีความยาวไม่เท่ากัน เมื่อคำนวณองศาและความยาวเงาที่ปรากฎเขาจึงได้ข้อสรุปขนาดของโลกกลมและกลายมาเป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันโลกกลมจนถึงปัจจุบัน 




       แต่การทดลองนี้อยู่บนสมมุติฐานว่าแสงเดินทางเป็นเส้นขนานจากระยะทางเป็นล้านไมล์ ในความจริงแล้วผลการทดลองนี้สามารถยืนยันโลกแบนได้เช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์ของโลกแบนนั้นมีขนาดเล็กมาก และเล็กกว่าโลก ซึ่งลอยอยู่ใกล้ๆเพียงไม่กี่พันไมล์เหนือแผ่นดิน จึงทำให้เงาเสายาวไม่เท่ากัน  นี่คืออีกหนึ่งในตัวอย่างผลสรุปแบบทวิภาค กล่าวคือผลการทดลองเดียวกัน แต่เพราะสมมุติฐานต่างกัน ข้อสรุปจากการคำนวณจึงต่างกัน



       ในปัจจุบันเมื่อสังเกตแสงอาทิตย์ในช่วงเที่ยงวันที่กระทบยังเมืองต่างๆบนแนวละติจูดเดียวกัน ปรากฏว่าองศาแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นเส้นขนานเป็นดั่งสมมติฐานของโลกกลม เช่น
       - แอนตาร์กติกา-แคนาดา มีระยะทาง 14,980 กม. แสงทำมุมต่อกันเพียง 1 องศา
       - อาร์เจนตินา-แคนาดา มีระยะทาง 10,802 กม. แสงทำมุมต่อกัน 7 องศา
       - เปรู-สหรัฐ มีระยะทาง 6,270 กม. แสงทำมุมต่อกันถึง 13 องศา
       เนื่องจากค่าไม่คงที่และองศายังเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา มุมตกกระทบของแสง อาทิตย์จึงไม่สามารถใช้ยืนยันสัณฐานโลกได้ 



       5. ได้กล่าวว่า : สิ่งนั้นถูกทำให้รู้โดยข้อเท็จจริงที่ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวง ดาวไม่ได้ปรากฏขึ้นและตกเหนือผู้คนที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของโลกในเวลาเดียวกัน  ซึ่งเป็นสมมติฐานจากอริสโตเติลที่โคเปอร์นิคัสได้นำมาใช้ประกอบในหนังสือ การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (On the Revolutions of the Heavenly Bodies หรือ Revolutions) ดังที่กล่าวว่า เราไม่สามารถมองเห็นดาวดวงเดียวกันบนสถานที่ต่างกันได้ในเวลาเดียวกันได้” 
       สิ่งนี้บ่งชี้ว่า โมเดลโลกกลมไม่ได้เพิ่งถูกผลักดันโดยนักดาราศาสตร์เจซูอิตเท่านั้น ที่ได้นำตำราของโคเปอร์นิคัสไปเผยแพร่ยังจีน อินเดีย และส่วนต่างๆของโลกจนประเทศเหล่านั้นเปลี่ยนความเชื่อจากโลกแบนมาเป็นโลกกลมหลัง ค.ศ. 1543 (ฮ.ศ. 964) แต่แนวความคิดนี้ได้เข้ามาถึงโลกอิสลามตั้งแต่ยุคก่อนหน้านั้นแล้ว คือก็ช่วง ฮ.ศ.661-728 ที่อิบนุตัยมียะฮฺมีชีวิตอยู่(ซึ่งอิจมาอฺโลกกลมก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น) กระบวนการนี้ยังเคยมาถึงโลกอิสลามก่อนหน้านั้นผ่านนักโหราศาสตร์ชาวกรีกโรมัน ซึ่งเห็นได้จากที่อีหม่ามอัลเกาะห์ฏอนี(เสียชีวิต ฮ.ศ.387) ได้กล่าวเป็นบทกลอนว่า.. พวกวิศวกรและนักโหราศาสตร์ได้โกหกแล้ว ในการเข้าใจความรู้ของอัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง แผนที่ ณ ที่เขาทั้งสองนั้นเป็นทรงกลม ซึ่งเขายึดถือเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่ปราดเปรื่อง แผ่นดินนั้นจะแบนราบด้วยกับหลักฐานที่สัจจริงและชัดเจนในกุรอาน...โอ้นักปรัชญาเอ๋ย เจ้ามัวแต่หมกมุ่นด้วยกับปรัชญากรีกและโรมันแต่ละทิ้งทางนำ

ดู : หนังสืออันนูนียะ  

 

       จะเห็นว่าแม้แต่อิจมาอฺโลกกลมก็ยังสามารถอธิบายได้ด้วยโลกแบนเช่นกัน  คำถามที่ควรคิดคือ หากมุสลิมยึดมั่นตามกุรอานและฮะดีษ โดยไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักปรัชญากรีกโรมัน / นักโหราศาสตร์ / นักดาราศาสตร์เหล่านั้น  แล้วการที่มุสลิมยอมรับว่าโลกกลมเหมือนลูกบอล สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? 

 

       ฟัตวา(คำวินิจฉัย)ของเชคบินบาซ : แผ่นดินนั้นเป็นรูปกลมในทัศนะของผู้มีความรู้ทั้งหลายและอิบนุฮัซมินและท่านอื่นได้อ้างว่าเป็นอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)เรื่องนี้ว่าโลกมันกลมหมายความว่าโลกนั้นมันมีส่วนที่มาประสานมารวมซ้อนกันขึ้นไปเหมือนกับว่าจะเป็นทรงกลมแต่ว่าอัลลอฮฺนั้นทรงทำให้ส่วนบนของแผ่นดินนั้นมันแผ่ราบเรียบจะได้มีสิ่งต่างๆโดยมีภูเขายึดตรึงแผ่นดินไว้ สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ มีทะเลอยู่ได้ และให้แผ่นดินแบนราบ ดังปรากฏในอัลกุรอาน และการที่มันกลมนั้นก็ไม่ได้ห้ามในการที่มันจะแบนราบทางด้านบนเพราะว่ามันใหญ่มากจนกระทั่งว่าเป็นที่กว้างใหญ่
ดู : https://binbaz.org.sa/fatwas/5966/%D9%83%D8%B1%D9%88%D9%8A%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D8%A7%D8%B1%D8%B6


       ซึ่งฟัตวานี้สามารถเข้าใจได้ด้วยทั้งด้วยแผ่นดินที่ “กลมแบบลูกบอล” และ “กลมแบบเหรียญ”
    


       ท่านนบีมูฮัมมัม(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “ดุนยาเหมือนเหรียญ / แหวนบนผืนทราย”


       โดยที่ท่านไม่ได้กล่าวว่า “ดุนยาเหมือนลูกบอล / ไข่ที่ลอยกลางอากาศ”



       ดะฮาฮา ในซูเราะฮฺอันนาซิอาต 79 : 30 มีรากศัพท์มาจาก ดะฮา ซึ่งแปลว่า การแผ่ให้ราบ/การปรับให้เรียบเหมือนกับสถานที่วางไข่ของนกกระจอกเทศที่มันจะกระทืบเท้าเพื่อปรับพื้นดินให้ราบเรียบเหมาะสมและสะดวกง่ายดายในการดำรงชีวิต โดยพระองค์ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตบนโลก และพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าโดยโคจรเป็นปกติ และทรงให้กลางคืนและกลางวันเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า” (อิบรอฮีม 14 : 33) ซึ่งทั้งสองดวงแหวกว่ายอยู่เหนือแผ่นดินที่ถูกปรับให้แผ่ราบนั้น    



       โลกกลมแบบเหรียญ-มีท้องฟ้ารูปโดม คือความเข้าใจของชาวสลัฟและชาวคัมภีร์มาโดยตลอด “คือผู้ทรงทำให้แผ่นดินเป็น(ผืนราบเหมือน)ที่นอน และฟ้าเป็นอาคาร(รูปโดม)แก่พวกเจ้า” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 22) 

       อิบนุอับบาส และซอฮาบะฮฺท่านอื่นๆได้กล่าวถึงชั้นฟ้า(ไม่ได้หมายรวมถึงพื้นดิน)ที่มีลักษณะเหมือนมิกซัล(ที่ปั่นด้ายซึ่งเป็นวงกลม) โดยอุละมาอฺทั้งในอดีตและปัจจุบันมีความเห็นเหมือนกันว่าชั้นฟ้ามีลักษณะโค้งกลม

ดู : มัจมูอฺฟัตวาอิบนุตัยมียะฮ์


       อิบนุกะษิร (เสียชีวิต ฮ.ศ. 774) ยังได้อธิบายเกี่ยวกับสวรรค์เหนือชั้นฟ้าทั้ง 7 อีกว่า “สวรรค์มีความกว้างและยาวเท่ากันและเป็นทรงโดมโดยแต่ละชั้นจะเล็กลงเรื่อยๆจนถึงชั้นฟิรเดาสฺซึ่งอยู่สูงที่สุด เล็กที่สุดอยู่ใจกลางสวรรค์ และอยู่ใต้บังลังก์ของอัลลอฮฺ”
ดู
: ตั้งแต่นาทีที่ 8 https://www.facebook.com/Iklas.Krabi/videos/757471888041774/

 

       ที่น่าสนใจคือ ทุกวันนี้แม้เราจะคำนวณวิถีการโคจรของดวงดาวตามระบบศูนย์อาทิตย์(Heliocentric)แต่...

       1. การสังเกตดวงดาวจะสมมุติว่าเราหยุดนิ่งกับที่และเทหวัตถุต่างๆโคจรรอบโลก ตามนิยามของระบบศูนย์โลก(Geocentric) โดยให้เหตุผลว่า "วิธีนี้ใช้การได้และง่าย"


       2. ยังสมมุติให้เทหวัตถุต่างๆเสมือนติดอยู่บนทรงโดมใสๆ(Celestial Sphere)ที่ครอบอยู่เหนือจุดสังเกต... ซึ่งนิยามนี้มีบางประเด็นที่คล้ายคลึงกับโมเดลโลกแบนอย่างมาก




       3. และถึงแม้องค์การอวกาศจะทราบระยะทางของดวงดาวต่างๆ แต่ทางดาราศาสตร์ก็ไม่ได้นำระยะทางเหล่านี้มาใช้ โดยสมมุติให้ Fixed Star (ดาวต่างๆในดาราจักร)มีระยะทางเท่า กัน(คือติดอยู่บนโดมใสนั้นหมือนๆกัน) ซึ่งมันเหมือนสมมติฐานของจักรวาลวิทยายุคก่อน และแน่นอนว่ามันสอดคล้องกับสิ่งที่สังเกตได้ แต่มันกลับไม่ใช่ข้อเท็จจริงของจักรวาลวิทยายุคใหม่ที่เชื่อว่า Fixed Star เหล่านั้นมีระยะทางแตกต่างกันเพราะการระเบิด Big Bang

ดู : https://youtu.be/Ch7sqkgFwxA

       ดังนั้น "และพระองค์ผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน และดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แต่ละหน่วยแหวกว่ายตามเส้นทาง(ที่อัลลอฮฺกำหนด)"  (อัลอัมบิยาอฺ 21 : 33) ที่มุสลิมบางส่วนนำมาอธิบายท้องฟ้าที่เป็นทรงกลมเพื่อยืนยันโมเดลโลกกลม ความจริงแล้วอายะห์นี้ถูกนำมาใช้อธิบายท้องฟ้ากลมๆของโลกแบนอยู่ก่อนแล้ว


       อีหม่ามมูกอติล บินซุไลมาน
(ยุคสลัฟ เสียชีวิต ฮ.ศ.150)ได้กล่าวในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฮิจรฺ 15 :19 “และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน” และซูเราะห์กอฟ 50 : 7 “และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่ให้มันกว้างออกไปและในแผ่นดินเราได้ปักภูเขาไว้อย่างมั่นคงและในแผ่นดินนั้นเราให้พฤกษชาติทุกชนิดงอกเงยออกมาเป็นคู่ๆอย่างสวยงาม”  ว่า และแผ่นดินเราได้แผ่มันออก หมายถึงทำให้มันแบน กล่าวคือมีระยะทาง 500 ปี ความยาวของมัน และกว้างของมัน และหนาของมัน และอัลลอฮฺทรงแผ่มันจากใต้กะบะฮฺ

ดู : ตัฟซีรมูกอติล เล่มที่ 2  หน้า 426

 

       แผ่นดินนั้นถูกแผ่ออกไป 500 ปีและหนาอีก 500 ปี ดังนั้นหากโลกเป็นทรงกลมแปลว่าโลกต้องมีขนาดเท่าๆเอกภพ(ซึ่งมีระยะ 500 ปี)  ตัฟซีรนี้จึงเป็นการยืนยันว่าโลกต้องเป็นทรงแบนเท่านั้น


       ภาพ Conceptual แผนที่โลกกลม(บนซ้าย) เมื่อเปลี่ยนเป็นโลกแบน(ล่างซ้าย)เส้นรอบวงของโลกกลม จึงหมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกแบน ขั้วโลกใต้จึงเป็นจุดแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างโมเดลโลกกลมและโลกแบน เพราะขั้วโลกใต้ของโลกกลมเป็นเกาะขนาดเท่าๆอเมริกาใต้ แต่ขั้วโลกใต้ของโลกแบนเป็นกำแพงน้ำแข็งที่แผ่ขยายออกไป 500 ปีที่ล้อมน้ำทะเลและทวีปต่างๆไว้ จนมองดูเหมือนเหรียญบนผืนทราย



       อิบนูมูญาฮิร(ยุคสลัฟ) ได้ยกหลักฐานที่บ่งว่า ทัศนะนี้ถูกต้องด้วยกับน้ำทะเลที่ล้อม รอบสิ่งถูกสร้างต่างๆซึ่งท่านได้กล่าวว่าหากแผ่นดินนั้นเป็นลูกบอลน้ำจะไม่สามารถอยู่บนมันได้


       และด้วยเหตุนี้ Gravity(แรงโน้มถ่วง) จึงจำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นมาในปี 1,666 เพื่อรองรับโมเดลโลกกลมที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่ปรากฎการณ์ต่างๆที่เราพบเห็นสามารถอธิบายด้วยความหนาแน่น การลอยตัว แรงดันอากาศ และแรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้  โทมัส วินชิปได้กล่าวในหนังสือ Zetetic Cosmogeny ว่า "กฎแรงโน้มถ่วงถูกกล่าวถึงโดยผู้ที่สนับสนุนระบบดาราศาสตร์ของนิวตันว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในวิทยาศาสตร์และมันเป็นรากฐานของระบบดาราศาสตร์ยุคใหม่ ดังนั้นมันจึงแสดงได้ว่าแรงโน้มถ่วงเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานและเป็นเพียงจินตนาการที่อยู่ในใจเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงๆภายนอกสมองของเหล่าผู้อธิบายและผู้สนับสนุน"

       และมีนักวิชาการร่วมสมัย เช่น Dr. Verlinde กล่าวว่า “แรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่จริง”
ดู
: Gravity doesn't exist  
https://www.nytimes.com/2010/07/13/science/13gravity.html

ดู : Cosmos with out Gravitation https://drive.google.com/drive/u/0/my-drive

 

       อิบนูมูญาฮิรยังได้กล่าวในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ 88 : 18-20 “และยังท้องฟ้าบ้างหรือว่ามันถูกยกให้สูงขึ้นอย่างไร? และยังภูเขาบ้างหรือว่ามันถูกปักตั้งไว้อย่างไร? และยังแผ่นดินบ้างหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร? ว่า อายะนี้บ่งว่าแผ่นดินนั้นแผ่ไม่ได้เป็นทรงกลม

ดู : ตัฟซีรอิบนูมูญาฮิร 

 

       อีหม่ามอัลเกาะห์ฏอนี(เสียชีวิต ฮ.ศ.387) กล่าวไว้เป็นบทกลอนว่า.. พวกวิศวกรและนักโหราศาสตร์ได้โกหกแล้ว ในการเข้าใจความรู้ของอัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง แผนที่ ณ ที่เขาทั้งสองนั้นเป็นทรงกลม ซึ่งเขายึดถือเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่ปราดเปรื่อง แผ่นดินนั้นจะแบนราบด้วยกับหลักฐานที่สัจจริงและชัดเจนในกุรอาน...(จนถึงคำพูดสุดท้าย)...โอ้นักปรัชญาเอ๋ย เจ้ามัวแต่หมกมุ่นด้วยกับปรัชญากรีกและโรมันแต่ละทิ้งทางนำ
ดู
: หนังสืออันนูนียะ    
           

       อับดุลกอเฮร อัลบักดาดีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ. 429) กล่าวว่า พระนามอัลบาซิร(ผู้แผ่) เป็นหลักฐานบ่งถึงการแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และบ่งชี้ว่าพระองค์ทรงแผ่แผ่นดินจึงเรียกว่าผู้แผ่ซึ่งขัดกับผู้ที่อ้างตามนักปรัชญาและโหราศาสตร์ที่ว่าโลกนั้นกลมไม่ได้แบนราบ

ดู : หนังสืออุซูลุดดีน หน้า 124

 

       อิหม่ามมาวัรดี(ฮ.ศ.364-450) ตัฟซีรซูเราะห์ อัรเราะอฺดฺ 13 : 3 “และฟ้าลั่นจะแซ่ซร้อง สดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์ และมะลาอิกะฮฺจะสดุดีด้วย เพราะความกลัวพระองค์ และพระองค์ทรงให้ฟ้าผ่าแล้วมันจะฟาดไปยังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยพวกเขาโต้เถียงกันในเรื่องของอัลลอฮฺ และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจยิ่ง”  ว่า ทำให้มันแบนเพื่อให้สิ่งต่างๆอยู่บนมันได้ เป็นการตอบโต้ผู้ที่อ้างว่ากลมเหมือนลูกบอล

ดู : หนังสืออันนูกัต วัลอุยูน เล่ม 3 หน้า 92

 

       อิบนุอะตียะฮฺ(เสียชีวิต ฮ.ศ. 481) ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ 88 : 18-20 ว่า เป็นที่ประจักษ์จากอายะฮฺเหล่านี้คือ โลกนั้นแผ่ราบไม่ได้เป็นทรงกลม คือทัศนะที่ผู้รู้ยึดถือ

ดู : ตัฟซีรมูกอติล เล่มที่ 2  หน้า 426  

 

       อีหม่ามกุรตูบีย์(เสียชีวิติปี  ฮ.ศ. 671) ตัฟซีรซูเราะห์ อัรเราะอฺดฺ 13: 3 ว่า  อายะฮฺนี้เป็นการตอบโต้การกล่าวอ้างของผู้ที่บอกว่าโลกกลมเหมือนลูกบอล...และสิ่งที่มุสลิมและบรรดาชาวคัมภีร์ยึดเหมือนกัน คือ คำพูดที่ว่าโลกอยู่นิ่ง อยู่กับที่ และแบนราบ ส่วนการเคลื่อนไหวของโลกนั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวทางธรรมชาติที่มาประสบ เช่น แผ่นดินไหว

       และในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฮิจรุ 15 : 19 “และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคงและเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล” ท่านได้กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ตอบโต้ผู้ที่บอกว่าโลกนั้นเป็นทรงกลม
ดู
: หนังสืออัลจาเมียะลิลอะฮิกาม อัลกุรอาน

 

       อีหม่ามจลาลุดดีน(ฮ.ศ.791-864)  และ อีหม่ามซัยยูตี(ฮ.ศ.849-911) ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรซูเราะห์ อัลฆอซิยะฮฺ  88 : 18-20 ว่า คำว่าแบนราบบอกชัดว่าแผ่นดินนั้นแผ่และไม่กลมตามคำกล่าวอ้างของนักดาราศาสตร์

ดู : ตัฟซีรจลาเลน

 

       อัซซาอาริบีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ. 875)  ได้ตัฟซีรซูเราะห์ นูฮ 71 : 19 และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน”  ว่า อายะนี้บ่งว่า แผ่นดินนั้นแผ่ราบเรียบไม่ใช่ลูกบอลและการจะเชื่อว่ากลมหรือแบนไม่ได้สร้างความเสียหายในหลักการศาสนา เพียงแต่การเชื่อว่ากลมนั้นส่งผลให้มีการพิจารณาที่ผิดพลาด แต่การเชื่อว่าแบนราบซึ่งประจักษ์ชัดในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ เป็นสิ่งที่ไม่มีวันที่จะเสียหายเด็ดขาด

ดู : อัลจาวาเฮร อัลฮิซาม ฟีตัฟซีรอัลกุรอาน

 

       แม้คัมภีร์ไบเบิลจะมีบางส่วนที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ในพันธสัญญาเดิมยังกล่าวถึงโลกแบน-อยู่นิ่งกับที่-มีชั้นฟ้าโค้ง อยู่กว่า 240 แห่ง และนี่คือร่องรอยที่ยังคงหลงเหลือให้เราได้เห็นว่า ชาวคัมภีร์เชื่อว่าโลกแบนแบบที่อีหม่ามกุรตูบีย์กล่าวไว้
ดู : www.flatearthdoctrine.com         





       ไม่เพียงเท่านั้นคัมภีร์อิดริส (Book of Enoch) ก็บรรยายถึงลักษณะชั้นฟ้าที่สอดคล้องกับโมเดลโลกแบนเช่นกัน

ดู : https://www.facebook.com/groups/YIAFE/permalink/2493396994316888/?sfnsn=mo



ข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ว่า

       - ฮะดีษที่บอกว่าโลกกลมเหมือนเหรียญ สอดคล้องกับโลกแบนมากกว่าที่จะหมายถึงโลกกลมแบบลูกบอลตามที่วิทยาศาสตร์กำลังชวนเชื่อ

       - ชาวคัมภีร์(คริสต์ ยิว)รวมถึงคัมภีร์อิดรีสบรรยายลักษณะโลกแบน-อยู่นิ่งกับที่ และยังไม่ปรากฎว่ามีชาวสลัฟหรือชาวคัมภีร์ท่านใดที่เชื่อว่าโลกกลมแบบลูกบอลที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
       - อิจมาอฺโลกกลมก็ยังสามารถอธิบายได้ด้วยโลกแบน และไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ชัดเจนจากยุคสลัฟที่ถูกอ้างว่ามีทัศนะโลกกลมแบบลูกบอล มีเพียงการตีความจากผู้อ้างเท่านั้นว่าเพราะชั้นฟ้าโค้งกลม ดังนั้นโลกทั้งหมด(ซึ่งรวมทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน)จึงเป็นทรงกลม

       - นักอุศูลีมีมุมมองว่า ตั้งแต่ยุคสลัฟจนถึงปัจจุบันมีอุละมาอฺมากมายที่มีทัศนะว่าโลกแบน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอิจมาอฺโลกกลมแบบลูกบอล เพราะประเด็นใดที่เคยมีความเห็นต่าง ประเด็นนั้นจะไม่สามารถเกิดอิจมาอฺได้ และการจากไปของผู้รู้ไม่ได้ทำให้ทัศนะที่แตกต่างมลายหายไปด้วย ซึ่ง Max Planck นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันผู้บุกเบิกการศึกษาทฤษฎีควอนตัมได้ชี้ให้เห็นมุมมองชวนคิดไว้ว่า "Science advances one funeral at a time"    ซึ่งแปลให้ชัดเจนได้ว่าการที่วิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งเจริญก้าวหน้าขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจากชัยชนะในการโน้มน้าวผู้ที่คัดค้านให้คล้อยตามได้ แต่เป็นเพราะผู้คัดค้านเหล่านั้นได้ตายไปแล้ว แล้วคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิดมาก็ถูกสอนให้คุ้นเคยกับวิทยาศาสตร์ด้านใหม่นั้นเพียงด้านเดียว”


        ดังนั้น แม้วิทยาศาสตร์ยุคใหม่จะได้รับการยอมรับไปทั่วโลก แต่มันก็ยังไม่ใช่หลักฐานยืนยันความเป็นจริงใดๆได้ “และหากพวกเจ้าเชื่อฟังส่วนมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว เขาก็จะให้เจ้าหลงจากทางของอัลลอฮฺไป”  (อันอาม : 116)