วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

72) ระบบ Heliocentric กับลัทธิ​ Lucifer​ian และ New​ World​ Order​

โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์(Heliocentric)
กับลัทธิ Luciferian 
และ New World Order


“บรรพบุรุษของเราบูชาดวงอาทิตย์และพวกเขาไม่ได้โง่เลย 
มันสมเหตุผลที่จะนบนอบต่อดวงอาทิตย์และดวงดาว
เพราะเราเป็นลูกหลานของดวงอาทิตย์และดวงดาว”
คาร์ล เซแกน นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอเมริกั


                ในอดีตการบูชาดวงอาทิตย์มีอยู่ทั่วโลก เช่นที่ Egypt, Assyria, Babylon, Meads & Persia, Greece & Rome (อารยธรรมเก่าแก่ศิวิไลระดับโลก) และยังมี  Aztecs, Incas, Mayas, Toltec Culture และ Sioux (อารยธรรมสมัยใหม่กว่า) ซึ่งความเชื่อนี้ยังมีอยู่เรื่อยมาถึงปัจจุบัน เช่น สมาคมลับฟรีเมสัน นักบวชคณะเจซูอิต

            ชาวฟรีเมสันได้นมัสการพระอาทิตย์เป็นพระเจ้าเช่นเดียวกับที่ Pagan กราบไหว้นมัสการมาตลอดบันทึกประวัติศาสตร์
                [Albert Mackey ฟรีเมสันในระดับที่ 33]

            พวกสมาคมลับฟรีเมสันมีความเชื่อว่าสัญลักษณ์วงกลมใช้แทน พระอาทิตย์”  และพวกเขาใช้สัญลักษณ์นี้สื่อถึง การนมัสการพระอาทิตย์” อันเป็นสุริยเทพ เทพเจ้าโอซิริส 
                [The Masonic Quiz Book หน้า 163]



                ซึ่งการบูชาดวงอาทิตย์คือการบูชาลูซิเฟอร์ในฐานะเทพแห่งแสงสว่าง
                "สิ่งที่เราต้องบอกกับผู้คนก็คือ พวกเราเป็นผู้ที่นมัสการในพระเจ้าสำหรับพวกท่านในฐานะผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุด (Sovereign Grand Inspectors General) เราจะต้องพูดย้ำกับสมาชิกในระดับที่ 32 31และ 30 ว่าศาสนาของพวกเราฟรีเมสันจะต้องยึดมั่นอยู่ในความบริสุทธิ์ในหลักคำสอนของลัทธิลูซิเฟอเรียน(Purity of the Luciferian Doctrine)…ใช่แล้ว ลูซิเฟอร์เป็นพระเจ้า ความจริงและความบริสุทธิ์ศาสนาปรัชญาของเราก็คือความเชื่อในลูซิเฟอร์ว่าเทียบเท่ากับอะโดนาย (พระเจ้า) แต่ลูซิเฟอร์เป็นพระเจ้าของแสงสว่างและเป็นพระเจ้าแห่งความดีงามที่กำลังต่อสู้กับพระเจ้าแห่งความมืดและพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายเพื่อมวลมนุษยชาติ 
                
Albert Pike ในฐานะ Confederate General ฟรีเมสันในระดับที่ 33 และ Sovereign Pontiff of Universal Freemasonry ที่ได้กล่าวแก่ 23 Confederated Supreme Councils of the World เมื่อวันที่14 ก.ค. 1889

                การบูชาดวงอาทิตย์/ลูซิเฟอร์ (เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง/แห่งการรู้แจ้ง) มีจุดเริ่มต้นจากการบูชา Ahura Mazda (เทพแห่งแสงสว่าง/แห่งปัญญา) ในเปอร์เซียโบราณนับถือ Ahura Mazda เป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นพระเจ้าแห่งความดีที่จะต่อสู้กับพระเจ้าแห่งความชั่ว (หรือเทพแห่งแสงที่ต่อสู้กับเทพแห่งความมืด) ความเชื่อนี้มาจากลัทธิโซโรอัสเตอร์ (ลัทธิบูชาไฟ) ที่อยู่ในยุคที่จักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจซึ่งถูกบิดเบือนและเผยแพร่เข้าสู่ยุโรปในยุคจักรวรรดิโรมัน เป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์กำลังเผยแผ่เข้าไปในขณะที่ผู้คนในโรมันยังคงบูชาสุริยเทพอยู่จึงเป็นเหตุให้ผู้ปกครองหลอมรวมศาสนาและการบูชาสุริยเทพเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการปกครอง และได้แทนที่สุริยเทพ (Sun God) ด้วยพระบุตร (Son of God) จนกลายเป็นโรมันคาทอลิกที่รู้จักกันในปัจจุบัน ดังที่ Thomas Paine ได้กล่าวไว้  “ศาสนาคริสต์คือการเลียนแบบการบูชาดวงอาทิตย์ โดยพวกเขาได้แทนที่ตำแหน่งชายที่เขาเรียกว่าพระคริสต์ด้วยดวงอาทิตย์ และเทิดทูนเขาแบบเดียวกับที่เคยเทิดทูนดวงอาทิตย์”    



           
                  คณะเจซูอิต (Jesuits) มีชื่อเต็มว่า คณะแห่งพระเยซูเจ้า (Society of Jesus) เป็นคณะนักบวชคาทอลิกที่นักบุญอิกเนเชียสแห่งโลโยลา (St.Ignatius of Loyola) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1540 (หลังโคเปอร์นิคัสเสนอทฤษฎีศูนย์อาทิตย์/Heliocentric 4 ปี) นักบวชในคณะนี้มีสมญาว่า ทหารของพระคริสต์” (Soldiers of Christ) หรือ ทหารราบของพระสันตะปาปา” (Foot soldiers of the Pope) เพราะนักบุญอิกเนเชียสผู้ก่อตั้งเคยเป็นอัศวินแห่งเทมปลาร์มาก่อนที่จะบวช ผู้ร่วมในกลุ่มคณะเจซูอิตได้ตั้งคำปฏิญาณถือความความยากจนและพรหมจรรย์เพื่อ เข้าทำงานกับโรงพยายาลและการเผยแพร่ศาสนาที่กรุงเยรูซาเลมหรือเพื่อไปยังที่ใด ๆ ที่พระสันตะปาปามีความประสงค์จะส่งไปโดยไม่ทักท้วง 

                  ศาสนจักรโรมันคาทอลิกเพิ่มพูนสิทธิพิเศษให้แก่อัศวินโดยการเน้นบทบาทของนักรบในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของชาวคริสต์ที่ได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับบทบาทของพระ การตั้งอัศวิน (dubbing of a knight คือการแต่งตั้งอัศวินเป็นพิธีกรรมสำคัญในการที่บุคคลจะได้รับตำแหน่งจากเจ้านายเหนือหัวของตน ในแง่นี้หมายถึงการนำดาบแตะไหล่เพื่อสถาปนาเป็นอัศวิน) กลายเป็น “พิธีรับศีลของการเป็นอัศวิน” (Sacrament of Knighthood) ยิ่งกว่านั้นการทำสงครามครูเสดต่อต้านชาวมุสลิมในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และชื่อเสียงของคณะอัศวินบางกลุ่มอย่างเช่น อัศวินฮอสพิทาลเลอร์ (Knight Hospitaller) อัศวินเทมพลา (Knight Templar) และอัศวินทิวทอนิค (Teutonic Knight) เป็นต้น ช่วยทำให้เกียรติภูมิของอัศวินในฐานะนักรบชาวคริสต์เพิ่มสูงมากขึ้นๆ  เพราะฉะนั้นนักบวชคณะเจซูอิตก็คือ หน่วยรบ หน่วยทหาร หรือจะเรียกได้ว่าคือ  หน่วยสืบราชการลับของศาสนจักรโรมันคาทอลิกโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น สมาชิกที่มีชื่อเสียงของคณะเจซูอิตเช่น นักบุญอิกเนเชียสแห่งโลโยลา, นักบุญฟรังซิสโก คาเบียร์, นักบุญโรแบร์โต เบลลาร์มีโน, นักบุญเปาโล มิกิ นักบุญลุยจี กอนซากา และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสองค์ปัจจุบัน 



               แม้พระสันตะปาปาฟรานซิสคนปัจจุบันจะเป็นโป๊ปคนแรกที่มาจากคณะเจซูอิตแต่...
                -  วาติกันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และเทคนิคในการสร้างกล้องดูดาวและหอดูดาวที่มากที่สุด มากกว่ามหาวิทยาลัย หรือองค์กร หรือรัฐบาลใดในโลก และยาวนานที่สุดนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 
                - หอดูดาว Refracting แห่งแรกตามแบบของเคปเลอร์เป็นของวาติกัน 
                - พวกเขาสร้างหอดูดาวแห่งแรกของสหรัฐในปี 1540 (หลังจากที่ลาโยลา อิกเนเชียส ก่อตั้งคณะนักบวชเจซูอิตขึ้น)
                
- VATT (Vatican Advanced Technology Telescope) คือหนึ่งในหอดูดาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่วาติกันร่วมกับมหาวิทยาลัยอาริโซนาสร้างขึ้นมา


                - วาติกันยังร่วมกับ NASA ในโครงการ L.U.C.I.F.E.R หอดูดาววอินฟาเรดที่สอดส่องสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ซึ่งอยู่บนยอดเขา Graham รัฐอาริโซนา และหากสังเกตชื่อเต็มของโครงการนี้คือ Large Binocular Telescope Near-Infrared Utility with Camera and Integral Field Unite for Extragalactic Research ซึ่งเห็นได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะให้โครงการนี้มีชื่อย่อว่า L.U.C.I.F.E.R. (เทพแห่งแสงสว่าง/มีตัวแทนเป็นดวงอาทิตย์) ให้จงได้ 
                มีหลักฐานที่น่าสนใจบ่งบอกถึงคำสั่งของนิกายเจซูอิตในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลังการบิดเบือนหลายศตวรรษ จุดประสงค์คือเพื่อเปลี่ยนการรับรู้ของมวลชนที่เกี่ยวข้องกับสัณฐานโลก จักรวาลวิทยาตามคัมภีร์ และพระผู้สร้าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการวางรากฐานสู่ทฤษฎีใหม่ๆอย่างมากมายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยชายที่ชื่อว่า...

Nicolaus Copernicus

             
             ในอดีตนับพันปีคนทั่วโลกเชื่อในแบบจำลอง โลกหยุดนิ่งกับที่-เป็นศูนย์กลางจักรวาล(Geocentric)  ซึ่งเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิล กุรอาน  Book of Enoch วิษณุปุราณะ ไตรภูมิพระร่วง เฮอร์เมส ธอธ และชนพื้นเมืองต่าง ๆ
               แต่ต่อมาในช่วงปี 1543 โคเปอร์นิคัสได้นำเสนอจักรวาลรูปแบบใหม่ด้วยหนังสือ การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า (De Revolutionibus Orbrium Codestium หรือ On the Revolutions of the Heavenly Bodies หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Revolutions) ที่อธิบายว่า โลกหมุนรอบตัวเอง-โคจรรอบดวงอาทิตย์ (Heliocentric)    ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยหนังสือทั้ง 6 เล่มนี้สรุปเนื้อหาได้ว่า                
               1. ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล โลกและดาวเคราะห์อื่น ๆ ต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ต้องใช้เวลา 1 ปีหรือ 365 วันซึ่งทำให้เกิดฤดูกาลขึ้น
                2. อีกทั้งโลกต้องหมุนอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดนิ่ง โดยโลกใช้เวลา 1 วันหรือ 24 ชั่วโมงในการหมุนรอบตัวเองซึ่งทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน โดยโลกนั้นมีสัณฐานกลมไม่ได้แบนอย่างที่เข้าใจกันมาตลอด โคเปอร์นิคัสให้เหตุผลในข้อนี้ว่า เราไม่สามารถมองเห็นดาวดวงเดียว กันบนสถานที่ต่างกันได้ในเวลาเดียวกันได้  
                3. ดาวเคราะห์ต่างๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นไปในลักษณะวงกลม โคเปอร์นิคัสได้เขียนรูปภาพแสดงลักษณะการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์
                แบบจำลองศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ของเขาคือสิ่งที่ถูกบรรจุในตำราเรียนยุคปัจจุบัน ส่วนแบบจำลองระบบศูนย์โลกที่เคยยอมรับกันก่อนหน้านี้ได้ถูกผลักไสกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปเสียแล้ว 
               คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าที่กาลิเลโอถูกรังแกโดยโรมันคาทอลิกที่ไปสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสซึ่งหลังจากโคเปอร์นิคัสเสียชีวิตไปแล้ว กาลิเลโอถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีต ถูกบังคับให้ละทิ้งความเชื่อของเขาและใช้เวลา 9 ปีสุดท้ายในชีวิตถูกกักบริเวณในบ้าน อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ 
                1. ชื่อโคเปอร์นิคัสอยู่ในลำดับที่ 3 ของเซนต์โดมินิก เมื่อเขาต้องการประกอบอาชีพในคริสตจักรเขาจึงศึกษาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์เป็นกรณีพิเศษ
                
2. แม้บางข้อมูลยืนยันว่าโคเปอร์นิคัสไม่เคยทำตามคำสาบานของนักบวช แต่มีข้อเท็จจริงที่ว่าในปี ค.ศ. 1537 กษัตริย์สมันด์แห่งโปแลนด์ได้ใส่ชื่อของเขาไว้ในรายชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งบิชอปสี่คนของErmland ทำให้ทราบว่าอย่างน้อยที่สุดเขาได้เข้าสู่ฐานะปุโรหิตในเวลาต่อมา
                
3. ในช่วงแรกที่มีการถามความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปปฏิทิน โคเปอร์นิคัสไม่พอใจที่จะตอบ แต่ต่อมาเขาก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ซึ่งมีข้อสังเกตว่า 70 ปีต่อมามันกลายเป็นพื้นฐานสำหรับการทำปฏิทินเกรกอเรียน[เป็นปฏิทิน
ที่ดัดแปลงมาจากปฏิทินจูเลียนที่ใช้แพร่หลายในประเทศตะวันตก ประกาศใช้ครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตปาปาเกรโกรีที่ 13 เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2125 (ค.ศ. 1582) เหตุที่มีการคิดค้นปฏิทินกริกอเรียนขึ้นมาใช้แทน เนื่องจากปีในปฏิทินจูเลียน(ซึ่งยาวนาน 365.25 วันนั้น) ยาวนานกว่าปีฤดูกาลจริง (365.2425 วัน)อยู่เล็กน้อย ทำให้วันวสันตวิษุวัตของแต่ละปีขยับเร็วขึ้นทีละน้อย เพื่อที่จะให้วันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม/วันวสันตวิษุวัตของทุกปี จึงจำเป็นต้องปฏิรูปปฏิทิน]
                4. เป็นเวลานานที่โคเปอร์นิคัสปฏิเสธที่จะเผยแพร่ความเชื่อศูนย์อาทิตย์/Heliocentric แต่ในที่สุดในปี 1531 เขาได้ตีพิมพ์บทคัดย่อสั้น ๆ โดยระบุทฤษฎีของเขาใน 7 สัจพจน์ จากนั้นแนวคิดนี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
                5. อีก 2 ปีต่อมา Albert Widmanstadt บรรยายเกี่ยวกับโมเดลของโปเปอร์นิคัสก่อน Pope Clement VII ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล
                6. ในปี ค.ศ. 1536 พระคาร์ดินัล Schonberg ซึ่งเป็นหัวหน้าบาทหลวงของ Capua ได้เรียกร้องให้โคเปอร์นิคัสเผยแพร่ทฤษฎีของเขาอย่างเต็มที่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีการพิมพ์สำเนาโดยพระคาดินัลสนับสนุนค่าใช้จ่ายเอง
                7. ระหว่างปี 1539 ถึงปี 1541 มีการเผยแพร่และแจกจ่ายจดหมายฉบับ 66 หน้าและบทเบื้องต้น 
                โคเปอร์นิคัสได้อธิบายในจดหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ว่าในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อการกระตุ้นของพระคาร์ดินัล Schonberg ท่านบิช็อป Giese แห่ง Culm และคนที่มีความรู้อื่นๆ และตกลงที่จะส่งต้นฉบับเพื่อตีพิมพ์ สำเนาหนังสือของเขาที่ตีพิมพ์เสร็จแล้ววางอยู่ในมือของโคเปอร์นิคัสเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในวันที่ 24 พฤษภาคม 1543

ดู : การสมคบคิดของ เจซูอิตเพื่อบิดเบือนโลกแบน
https://m.youtube.com/watch?v=1WHIr-IFqAo&feature=youtu.be

ดู เจซูอิตลบข้อมูลโลกแบนออกจากประวัติศาสตร์
https://www.youtube.com/watch?v=De3AxHackFs&app=desktop

                ประเด็นสำคัญที่จะต้องทราบคือ ทฤษฎีศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ของโคเปอร์นิคัส เป็นที่รู้จักกันดีในระดับบนของโบสถ์คาทอลิกในช่วงที่เขามีชีวิต หลังจากการตายของเขามันเป็นสิ่งกระตุ้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดพวกเขาก็ตกลงที่จะเผยแพร่ต้นฉบับนั้น  ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่ชาวคาทอลิกที่ปฏิเสธทฤษฎีนี้ แต่กลับเป็นมาร์ติน ลูเทอร์ ฟิลิป เมลานตัน และผู้นำโปรเตสแตนต์คนอื่นๆที่ออกมาต่อต้านทฤษฎีนี้ ซึ่งคาทอลิกเองก็ยอมรับว่า “ได้มีการหยิบยกระบบดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสที่ไม่สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิลมาต่อต้านโดยนักศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์  

                คำถาม : ทำไมผู้นำโรมันคาทอลิกกดดันให้โคเปอร์นิคัสเผยแพร่ทฤษฎีศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทั้งที่พวกเขาประณามกาลิเลโอในเกือบ 100 ปีต่อมา?
                คำตอบ มันเป็นเรื่องซับซ้อน แต่สิ่งนี้เผยให้เห็นแรงจูงใจที่กลายเป็นการสมรู้ร่วมคิดของเจซูอิต เพราะเขาต้องการเปลี่ยนความคิดของมวลชนจากความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับจักรวาลที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า แล้วใช้วิกฤติที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ตั้งใจในครั้งนั้นมากระตุ้นตามแผนการที่กำหนดไว้แล้วเพื่อให้มวลชนเดินไปสู่ทางเลือกที่พวกเขาต้องการ คือเตรียมการมาของพระบุตร (Son of God),พระผู้ช่วยให้รอด (Messiah) ที่พวกเขารอคอย เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เกือบทั้งหมดใช้ภาษาของ Hegelian Dialectic of Problem  ซึ่งก็คือ “การผลิตวิกฤตหรือใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่มีอยู่แล้วเพื่อ ที่จะให้เกิดการโต้ตอบของมวลชนและหาทางเลือกอื่นต่เป็นไปตามแผนการที่ได้วางไว้”
                มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่คริสตจักรคาทอลิกจะได้แรงผลักดันจากโคเปอร์นิคัสที่กระตุ้นเหล่านักบวชให้เผยแพร่ระบบศูนย์อาทิตย์/Heliocentric จนกระจายไปทั่วประเทศ นิกายเจซูอิตที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ 4 ปีหลังจากนั้นเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่ดำเนินการลับ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของมวลชนชนิดที่ร้ายกาจแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เจซูอิตมักได้รับการฝึกฝนอย่างสูงในด้านภาษาและวิทยาศาสตร์และใช้ความรู้ด้านดาราศาสตร์เพื่อชนะใจชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงทั่วโลก โน้มน้าว แทรกซึมรัฐบาลและสถาบันศึกษาและใช้อิทธิพลที่ทำให้พวกเขาได้เป็นที่ปรึกษาให้กับกษัตริย์และผู้นำด้านการศึกษา การทำงานผ่านหน่วยงานของรัฐและการศึกษาพวกเขาสามารถสร้างเส้นทางในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำเสนอการโกหกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ตัวอย่างเช่นจีนซึ่งเคยเชื่อว่าโลกแบนและหยุดนิ่งด้วยพลังหยิน ส่วนท้องฟ้าเป็นรูปโดมโค้งและเคลื่อนไหวด้วยพลังหยาง ซึ่งจีนเชื่อเช่นนี้มาตลอดจนถึงศตวรรษที่ 17 แต่แล้วมาเปลี่ยนเป็นโลกกลมหมุนรอบตัวเองเพราะมิชชันนารีเจซูอิตนำความเชื่อใหม่นี้เข้ามาเผยแพร่

                เมื่อนิกายเจซูอิตมีอำนาจไปทั่วโลกการปลูกฝังทฤษฎีศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ทีละขั้นตอนจนกระทั่งภายหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วอายุทุกคนบนโลกรู้ว่าโลกกำลังเดินทางรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

                จากการตีพิมพ์ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสอย่างไม่เต็มใจนัก นิกายเจซูอิตได้ผลิตนักดาราศาสตร์มากขึ้นกว่ากลุ่มทำงานเฉพาะด้านอื่น ๆ ในยุโรป มีคำสั่งทางศาสนาที่จะสร้างนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่ด้านดาราศาสตร์เพียงด้านเดียว การศึกษาของนักดาราศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 21 เผยให้เห็นบรรดานักดาราศาสตร์ชั้นนำที่เป็นนักบวชนิกายเจซูอิต แม้แต่ปฏิทินเกรกอเรียนเขาได้รวมวิชาดาราศาสตร์เข้าไว้ในหลักสูตรของนิกายเจซูอิตและเป็นนักวิชาการหลักที่อยู่เบื้องหลังการสร้างปฏิทินเกรกอเรียน เช่นเดียวกับนักดาราศาสตร์ Wittenberg Clavius ได้นำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสมาใช้ และนี่คือรายการของนักบวชคาทอลิหลวงพี่บาทหลวงเจ้าอาวาสพระคาร์ดินัลพระสันตะปาปา (และอย่างน้อย 4 นักบุญ) ที่ได้มีส่วนร่วมที่สำคัญต่อผลงานทางวิทยาศาสตร์
               มีหลุมบนดวงจันทร์ถึง 35 จุดที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักดาราศาสตร์เจซูอิต


               ทฤษฎีบิกแบงเกิดขึ้นในปี 1927 โดย Georges Lemaître ซึ่งเขาก็เป็นนักบวชที่ถูกฝึกฝนจากเจซูอิตเช่นกัน และนักบวชคาทอลิก Andrew Pinsent ยอมรับเองว่าพวกเขาประดิษฐ์ทฤษฎีนี้ขึ้นมา การเป็นทั้งนักบวชและเคยเป็นนักฟิสิกส์อนุภาคที่ C.E.R.Nฉันมักถูกถามเรื่องศรัทธาและวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งที่คนรุ่นใหม่ถามฉันว่า คุณเป็นทั้งนักบวชและก็เชื่อใน Big Bang ได้อย่างไร ? ซึ่งฉันก็ยินดีตอบว่า พวกเราประดิษฐ์มันขึ้นมา หรือให้พูดตรงๆคือนักบวช Georges Lemaitre ประดิษฐ์ทฤษฎีที่ทุกวันนี้เรียกว่า Big Bang และทุกคนควรรู้จักเขา" 

            มันน่าแปลกใจใช่ไหมที่เขาเลือกใช้คำว่า “ประดิษฐ์ขึ้น”  ไม่ใช่คำว่า “ค้นพบ” ?


               ในปี 1933 ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียได้รวบรวมเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจำนวนหนึ่งจากทั่วโลกเพื่อฟังการบรรยายต่างๆ หลังจาก Georges Lemaître บรรยายทฤษฎี Big Bang ของเขาแล้วไอนสไตน์ได้ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า นี่เป็นคำอธิบายของการสร้างจักรวาลที่สวยงามและน่าพอใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา”  ซึ่งในบรรยายของ ดร.โรเบิร์ต ซันเจนิส ได้กล่าวว่า  ไอนสไตน์เป็นพวกที่ต่อต้านคริสต์ตัวยง และเขาพยายามทุกทางที่จะสร้างทฤษฎีต่างๆที่ขัดแย้งกับจักรวาลตามคัมภีร์ไบเบิล เพราะตราบใดที่ผู้คนยอมรับจักรวาลตามคัมภีร์ไบเบิลในฐานะมวลคงที่และไม่เคลื่อนที่มันไม่มีฐานที่จะสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้มนุษย์สงสัยในวจนะของพระเจ้า เนื่องจากคริสตจักรคาทอลิกให้ความสำคัญกับพระสันตะปาปาและประเพณีอยู่เหนือคัมภีร์  ขณะที่พยายามลดความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ มันก็ได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาในฐานะผู้มีอำนาจที่สวรรค์แต่งตั้งให้เชื่อตามและมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป นิกายเจซูอิตจึงเป็นศัตรูของคัมภีร์ไบเบิลเสมอมา


                Brother Guy Consolmagno ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหอดูดาวของวาติกัน (Vatican Observatory) ได้กล่าวอีกว่า “หนังสือวิทยาศาสตร์ยังล้าสมัย แล้วไบเบิลที่มีอายุ 3,000 ปีล่ะจะล้าสมัยด้วยหรือไม่ ถ้าคุณรู้จักเจซูอิตดีพอคุณจะรู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อไบเบิลเลย
                คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงโลกตามโมเดลศูนย์โลก/Geocentriแต่เพื่อจะลดความน่าเชื่อถือไบเบิลจึงจำเป็นต้องมีคำอธิบายใหม่ว่าโลกโคจรไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์หลายล้านไมล์ โลกมีการเคลื่อนที่ผ่านห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการอธิบายทฤษฎีศูนย์อาทิตย์/Heliocentric ในที่สุดสิ่งนี้ก็สร้างเรื่องราวที่สอดรับกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน เพราะตราบใดที่ผู้คนยึดถือคัมภีร์ไบเบิลในฐานะความจริงสูงสุด พวกเขาก็จะไม่มีทางยอมรับทฤษฎีของดาร์วินได้ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ พิสูจน์” แล้วว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวผิดเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานของโลก วิทยาศาสตร์ก็สามารถแยกออกจากความเชื่อทางศาสนาได้อย่างง่ายดาย และต่อมาเมื่อมีทฤษฎี Big Bang ซึ่งเป็นการอธิบายที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดเกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล ความเชื่อว่าโลกนี้ต้องเกิดจากผู้สร้างจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ซึ่งเป็นอย่างที่สตีเวน ฮอว์กิงกล่าวไว้ว่า "เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง  แต่วิทยาศาสตร์ทำให้พระเจ้าไม่จำเป็นต้องมี" 

ดู การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ โดยโรม
ดู : โลกกลม ...ที่สุดแห่งการสมคบคิดโดยเจซูอิต

ดู : 500 ปีแห่งการบิดเบือนโดยเจซูอิต 

                การผลักดัน การปฏิวัติทางโคจรแห่งดาวบนฟากฟ้า ของ Copernicasและ ทฤษฎี Big Bang ของ Georges Lemaitre จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก คือสิ่งยืนยันอันชัดเจนว่า จักรวาลวิทยาที่เรายึดถือกันในปัจจุบันถูกผลักดันโดยผู้ที่บูชาดวงอาทิตย์ ซึ่งการบูชาดวงอาทิตย์/ลูซิเฟอร์จะพาเราเข้าสู่ New World Order (ยุคที่แอนตี้ไครส์ / ดัจญาล / พระเจ้าจอมปลอมปรากฎออกมา)  
            "ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ในทั่วทุกหนแห่งประชากรในโลกจะได้รับแสงสว่างที่แท้จริงที่มาจากหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของลัทธิลูซิเฟอเรียนที่ปรากฎขึ้นอันเกิดจากการเคลื่อนไหวของพวกขวาจัดที่คอยผลักดัน จากนั้นภายใต้สิ่งนี้ศาสนาคริสต์ในทุกคณะนิกายและผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าก็จะถึงซึ่งกับความพินาศ อันดูเสมือนว่าจะเป็นการได้รับชัยชนะ แต่กลับกลายเป็นการถอนรากถอนโคนและทำลายจนสูญสิ้นในเวลาเดียวกัน"
                จดหมายของ Albert Pike เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1874 จากหนังสือ Pawns in the Game, p. xv-xvi โดย William Guy Carr


 
                สิ่งที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ยืนยันเหมือนกันว่า “โลกหยุดนิ่งกับที่ตรงศูนย์กลางจักรวาล” แต่แล้ววิทยาศาสตร์ก็ได้บิดเบือนความจริงนั้นแล้วทำให้ทุกศาสนิกหวั่นไหวและเดินออกจากคัมภีร์ของตน แล้วหันมาคล้อยตามสิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์นำมาโดยคิดว่ามันคือความจริงแท้ที่เราเพิ่งค้นพบ
               ในขณะที่ชาวพุทธเวียนเทียนรอบปูชนียสถานเพื่อระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ส่วนมุสลิมเดินวนรอบกะบะฮฺเพื่อแสดงความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺ 


                สิ่งที่เราต้องตั้งคำถามกับตัวเอง คือ การที่เราละทิ้งคัมภีร์ของตนแล้วหันไปยอมรับวิทยาศาสตร์ว่าโลก(ซึ่งหมายถึงมนุษย์เราทุกคน) ที่กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์...นี่หมายถึงก้าวแรกสู่ลัทธิลูซิเฟอเรียนหรือไม่ ?


จะไม่มีใครเข้าสู่ New World Order นอกจากเขาจะปฏิญาณตนเพื่อบูชาลูซิเฟอร์ จะไม่มีใครเข้าสู่โลกยุคใหม่ นอกจากเขาจะเริ่มต้นจากลัทธิลูซิเฟอเรียน 
                David Spangler แห่งองค์การสหประชาติ New Age Movement leader, co-founder of Findhorn Foundation and Lindisfarne Association (with friend William Irwin Thompson) from his book, “Reflections on the Christ” 1977

--------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 1) วิทยาศาสตร์ยุคใหม่...กับนัยที่ซ่อนเร้น
http://flatearthmatters.blogspot.com/2020/04/71.html

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

55) Operation Paperclip จุดเริ่มต้นของ NASA มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับกองทัพ NAZI


จุดเริ่มต้นขององค์กรอวกาศ NASA ใช้นักวิทยาศาสตร์และองค์ความรู้การพัฒนาจรวดมาจากกองทัพนาซี หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างปี 1945 - 1959 สหรัฐได้นำนักวิทยาศาสตร์จากกองทัพนาซีจำนวน 1,600 คน เข้ามาทำงานในองค์กรรัฐของสหรัฐอเมริกาอย่างลับ ๆ ภายใต้ปฏิบัติการที่ชื่อว่า Operation Paperclip


หัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์ "นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันถูกคัดเลือกเข้ามาโดยอเมริกา"


นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งในโครงการ Operation Paperclip


Operation Paperclip

ในคลิปนี้ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับการสร้างจรวดและขีปนาวุธของกองทัพนาซี ศักยภาพของจรวดที่เยอรมันสร้างมีประสิทธิภาพสูงมากคือจรวด V1 และ V2 ขีปนาวุธชิ้นแรกที่สามารถทยานขึ้นไปได้สูงถึงชั้นอวกาศก็คือ V2

ทั้ง V1 และ V2 ถูกใช้ในกองทัพอากาศของเยอรมันเพื่อถล่มประเทศอังกฤษ เยอรมันนีส่งจรวด V2 มากกว่า 3,000 ลูกในการทำสงครามและสังหารทหารและพลเรือนไปกว่า 7,500 ราย อย่างไรก็ตามมีแรงงานทาสจำนวนเกือบ 20,000 ราย ที่ต้องเสียชีวิตในขณะที่ผลิตขีปนาวุธชี้นนี้ ด้วยตัวเลขดังกล่าวถือว่า V1 และ V2 เป็นอาวุธสงครามที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในขณะที่สร้างมากกว่าตอนที่มันถูกใช้ซะอีก

จรวด V1

The Blitz คือเหตุการณ์ที่เยอรมันนี้ใช้ขีปนาวุธถล่มประเทศอังกฤษตั้งแต่เดือนกันยายน 1940 จนถึงพฤษภาคม 1941 มีพลเรือนเสียชีวิตเกือบ 43,000 คน ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยในกรุงลอนดอน

ซากของขีปนาวุธ V2 ท่ามกลางความเสียหายของอาคารในกรุงลอนดอน

The Blitz เริ่มต้นจากพื้นที่ในกรุงลอนดอน มีตึกรามบ้านช่องและอาคารต่าง ๆ เสียหายมากกว่า 1 ล้านแห่ง 

ชาวลอนดอนต้องอาศัยหลับนอนกันในอุโมงค์รถไฟใต้ดินเพื่อหลบระเบิด


ต่อมาฮิตเล่อร์เริ่มย้ายฐานโรงงานการผลิตจรวดขีปนาวุธลงใต้ดินเพื่อเก็บเป็นความลับ และใช้แรงงานทาสจากแคมป์หลายแห่ง หลังจากที่กองทัพนาซีแพ้สงครามฝ่ายพันธมิตรได้บังคับให้นาซีส่งมอบเอกสารต่าง ๆ ทั้งต้นแบบจรวด มิสไซล์ รวมทั้งรายชื่อของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในโครงการต่าง ๆ ของกองทัพด้วย


ฐานลับแห่งหนึ่งของกองทัพนาซี ในประเทศเยอรมันนี


นักวิทยาศาสตร์ที่น่าจับตามองที่สุดในโครงการ Operation Paperclip คือ เวอเนอร์ วอน บรอน (Wernher von Braun) เขาทำงานเป็นวิศวกรด้านจรวดให้กับนาซีมาตั้งแต่อายุยังน้อย และเปลี่ยนมาทำงานให้สหรัฐอเมริกาเมื่อตอนอายุ 33 ปี

เวอเนอร์ วอน บรอนเมื่อครั้งยังทำงานให้กับกองทัพนาซี

เวอเนอร์ วอน บรอน เป็นคนออกแบบจรวด V2 ให้กับเยอรมันและทำงานในโครงการอพอลโลกับภารกิจการไปเยือนดวงจันทร์ให้อเมริกา หลังจากที่โซเวียตประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียม Sputnik I ที่สามารถโคจรรอบโลกได้นานถึง 92 วัน อเมริกาก็เริ่มรู้ว่าจรวด Vanguard ของพวกเขานั้นยังไม่เสถียรพอ และพวกเขาจำเป็นต้องมีจรวดที่ดีกว่านี้เพื่อตามโซเวียตให้ทัน องค์กร NASA จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1958 โดยมีเวอเนอร์ วอน บรอน เป็นผู้อำนวยการคนแรก

ภาพการส่งขีปนาวุธมิสไซล์ V2 ของสหรัฐที่แหลมคะแนเวอรัล (Cape Canaveral) ในปี 1950 
(ตอนนั้นยังไม่เป็น NASA)


เวอเนอร์ วอน บรอน กับตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรก ขององค์กรอวกาศ NASA

เวอเนอร์ วอน บรอน กับเครื่องยนต์ของยาน Saturn ในโครงการของ NASA

เวอเนอร์ วอน บรอน กับเหล่านักวิศวกรด้านยานอวกาศชาวเยอรมัน มีชื่อทีมว่า von Braun rocket group

ยาน Saturn ได้ถูกพัฒนาให้กับ NASA เพื่อช่วยให้สหรัฐอเมริกามีศักยภาพเทียบเท่ากับโซเวียต และเพื่อที่จะเอาชนะโซเวียตให้ได้ โครงการอพอลโลจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการนำมนุษย์ไปเยือนดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก โดยการใช้นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน อเมริกาจึงสามารถสู้กับโซเวียตได้ในสงครามเย็นรวมทั้งการแข่งขันด้านอวกาศ

วอล์ท ดิสนีย์และเวอเนอร์ วอน บรอน ในการสร้างภาพยนตร์เพื่อโปรโมทวิศวกรรมด้านยานอวกาศ


นักวิทยาศาสตร์ด้านจรวดคนสำคัญจากกองทัพนาซีที่เข้ามาทำงานใน NASA นอกจาก Wernher von Braun แล้วก็ยังมี Arthur Rudolph และ Hermann Oberth


สมัยที่ Lyndon B. Johnson เป็นรองประธานาธิบดีของเคนเนดี้ในปี 1962 เคยกล่าวไว้ว่า

"Control of space means control of the world"
"From space, the masters of infinity would have the power to control the earth's
weather, to cause drought and flood, to change the tides and raise the levels of the sea,
to divert the Gulf stream and change temperate climates to frigid."

"การควบคุมอวกาศได้ก็หมายความว่าเราควบคุมโลกได้"
"จากอวกาศ เราจะมีอำนาจอย่างไร้ขีดจำกัดในการควบคุมสภาพอากาศของโลก
จะทำให้เกิดฝนแล้ง น้ำท่วม หรือเปลี่ยนรูปแบบน้ำขึ้นน้ำลงก็ได้ แม้กระทั่งเปลี่ยนกระแสน้ำในอ่าวก็ยังได้
จะเปลี่ยนอุณหภูมิให้หนาวเหน็บก็ทำได้"


ตอนต่อไปจะเล่าถึงนักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ และทหารคนสำคัญของกองทัพนาซี ที่ถูกคัดเลือกให้เข้ามาทำงานให้กับสหรัฐอเมริกาในโครงการ Operation Paperclip ที่สำคัญคือกลุ่มคนเหล่านี้กลับรอดจากการถูกพิจารณาคดี Nuremberg ในการพิจารณาผู้กระทำความผิดอาญาสงครามเมื่อปี 1945

หากใครสนใจอยากอ่านข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากหนังสือหลายเล่ม เช่น


   



----------------------------------------------------------